รัฐไทยเปิดตลาด ‘สินค้าเกษตร-พลังงาน’ แลกปิดดีลภาษีทรัมป์ 19%

‘โฆษกรัฐบาล’ โพล่ง! รัฐบาลเจรจรภาษีทรัมป์สำเร็จ กดเหลือ 19% มั่นใจแข่งขันเพื่อนบ้านได้แน่ โว! ผลงาน WIN-WIN ของ “ทีมไทยแลนด์” ด้าน “รองฯพิชัย” ยอมรับ ต้องแลกการเปิดตลาดให้สหรัฐฯ ทั้งสินค้าเกษตร “ข้าวโพด เนื้อหมู ปลานิล” รวมถึงสินค้าพลังงาน เผย! บางตัวเหลือ 0% แต่เป็นสินค้าที่สหรัฐฯไม่มีส่งออก พร้อมวางมาตรการรับมือผลกระทบทุกฝ่าย ดึง “สภาหอการค้าฯ – สอท.” หาข้อมูลช่วย SME ย้ำ! ภาษีสวมตอสินค้าไทย จัดเก็บหนัก “ออนท็อป 40%”

นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ในฐานะ หัวหน้าทีมเจรจาประเทศไทย (“ทีมไทยแลนด์”) โพสต์ข้อความผ่าน IG ส่วนตัว “pichaichunhavajira” เมื่อช่วงเช้าวันนี้ (1 ส.ค.2568) ถึงผลการเจรจากับสหรัฐฯ ว่า การประกาศ Tariff rate ที่ 19% สะท้อนถึงมิตรภาพและความเป็นพันธมิตรที่แน่นแฟ้นระหว่างไทย–สหรัฐฯ ช่วยให้ไทยยังคงแข่งขันได้ในเวทีโลก สร้างความเชื่อมั่นต่อนักลงทุน และเปิดประตูสู่การขยายตัวทางเศรษฐกิจ รายได้ และโอกาสใหม่ ๆ ให้กับประเทศไทย

ทั้งนี้ การทำงานยังไม่สิ้นสุด รัฐบาลตระหนักถึงผลกระทบต่อผู้ประกอบการและพี่น้องเกษตรกร จึงได้จัดเตรียมมาตรการรองรับอย่างรอบด้าน ทั้งงบประมาณ Soft Loan เงินอุดหนุน มาตรการภาษี และการปฏิรูปกฎระเบียบที่จำเป็น เพื่อยกระดับให้ไทยสามารถปรับตัวและก้าวสู่โลกเศรษฐกิจในอนาคตได้อย่างมั่นใจ

“ผลการเจรจาครั้งนี้เป็นสัญญาณให้ประเทศไทยต้องเร่งปรับตัว เดินหน้าสร้างเศรษฐกิจที่มั่นคง แข็งแกร่ง และพร้อมรับมือกับความท้าทายของโลกในอนาคต” นายพิชัย ระบุ พร้อมกับแสดงความขอบคุณทีมไทยแลนด์สำหรับความทุ่มเทและความพยายามอย่างเต็มที่ในสถานการณ์ที่ยากจะควบคุม แต่เรายังมีภารกิจอีกมากที่ต้องสู้ต่อไป เพื่อประเทศไทยของพวกเราทุกคน

จากนั้น เวลาประมาณ 10.30 น. นายพิชัย ได้ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมที่กระทรวงการคลัง โดยยืนยันว่า อัตราภาษีที่ไทยได้รับ 19% ยังอยู่ในระดับที่สามารถแข่งขันได้ ก่อนหน้านี้ เราคาดหวังว่าหากอัตราภาษีน้อยกว่านี้ก็จะดี แต่ถ้าน้อยกว่านี้ก็แปลว่า ระหว่างประเทศจะมีได้เปรียบเสียเปรียบ คนได้มากกว่าจะขายของไม่ได้ ซึ่งคาดว่าสหรัฐฯต้องการให้ประเทศคู่ค่าเหล่านี้เกาะกลุ่มกัน

รองนายกฯและรมว.คลัง ยอมรับว่า สิ่งที่ไทยต้องแลกคือการเปิดเสรีให้กับสินค้าจากสหรัฐมากขึ้น ซึ่งมีนับหมื่นรายการ แต่ส่วนใหญ่ก็เปิดให้ประเทศอื่น ๆ อยู่แล้ว เพียงแต่ที่ผ่านมา ยังไม่ได้เปิดให้สหรัฐฯ ขณะเดียวกันก็มีบางรายการที่เป็นสินค้าที่สหรัฐไม่มีส่งออกอยู่แล้ว ก็เสนอให้ไป เพื่อให้เห็นว่าไทยเปิดให้หลายรายการมากขึ้น และการเปิดให้สหรัฐฯเข้ามา ก็เป็นการเพิ่มผู้เล่นในตลาดแข่งขันที่บ้านเรามากขึ้น

รายการสินค้าที่เปิดให้สหรัฐฯ มีทั้งของที่ไทยผลิตในประเทศไม่ได้ และที่ผลิตเองได้แต่ไม่เพียงพอ ส่วนสินค้าที่ต้นทุนผลิตของสหรัฐถูกกว่า และกระทบผู้ผลิตในประเทศ รัฐบาลจะหาทางช่วยเหลือคนกลุ่มนี้ นายพิชัย กล่าวและว่า สำหรับบางรายการสินค้าที่ไทยยอมกำหนดอัตราภาษีที่ 0% หลายตัวสหรัฐฯก็ไม่มี เช่น ลำไย หรือบางตัว ไทยต้องขอเวลาปรับตัวเป็นเวลา 5 ปี เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการในประเทศ รวมถึงมีการ กำหนดโควต้านำเข้า เพื่อไม่ให้สินค้าเข้ามาเกินความจำเป็นมากเกินไป

ส่วนกรณี ปลานิล ตนเชื่อว่าสามารถเปิดตลาดได้ เพราะสินค้าส่วนใหญ่เป็นการแปรรูป และต้นทุนราคาที่สูงกว่าของไทย ถึงเปิดตลาดให้เชื่อว่าสหรัฐฯคงไม่ส่งเข้ามา จึงไม่น่าจะกระทบกับคนเลี้ยงปลานิล ขณะที่ ข้าวโพด ปัจจุบันไทยต้องนำเข้าจากเมียนมา ลาว กัมพูชา จากนี้ ก็ต้องนำเข้าเพิ่มจากสหรัฐฯ แต่ก็ได้คุยกับผู้ผลิตแล้วว่าข้าวโพดที่เราผลิตเองมีไม่พอ และหากต้องนำเข้าเพิ่มได้ ผู้ประกอบการสามารถจะเพิ่มกำลังการผลิตได้อีก 30% ได้หรือไม่ ซึ่งได้รับการยืนยันว่าพร้อม เพราะมียังช่องว่างการผลิตเพียงพอ หมายความว่าจากนี้จะเพิ่มนำเข้าข้าวโพดจากเดิม 10 ล้านตัน เป็น 13 ล้านตันได้  

นายพิชัย ยังย้ำถึงการ เปิดตลาดให้กับเนื้อหมูจากสหรัฐฯ ว่า ได้กำหนดกฎเกณฑ์และมาตรการนำเข้าที่ไม่ได้ง่ายด้วยเกรงจะกระทบเกษตรกรจำนวนมาก หากจะเปิดคงมีน้อยมาก อาจจะแค่ 1% หรือไม่ถึง 1% จากที่เราบริโภค 100% ขณะเดียวกัน ก็ต้องตรวจที่มาของหมูด้วย โรงงานไหนจะนำมาขาย จะไปตรวจที่ต้นทาง และ ต้องดูความต้องการของผู้บริโภคด้วย

สำหรับการเปิดตลาดทางด้าน สินค้าพลังงานและปิโตรเคมี นั้น วันนี้ไทยนำเข้าน้ำมันกว่า 90% ก็จะโฟกัสซื้อจากสหรัฐฯมากขึ้น โดยอาจปรับสัดส่วนซื้อจากสหรัฐ 10% หรือ 1.2 แสนบาร์เรล ส่วน ก๊าซธรรมชาติ ที่ปกติซื้อจากตะวันออกกลางและยังไม่หมดสัญญา การซื้อจากสหรัฐคงเป็นแบบทยอยซื้อ ทั้งนี้ ต้องขึ้นกับราคาและต้นทุนการขนส่งด้วย  

นอกจากนี้ ไทยจำเป็นจะต้องแก้อุปสรรคทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ซึ่งยอมรับว่าเป็นเรื่องที่เจรจายากและทำให้เสียเวลามาจนถึงวันนี้ ส่วนการป้องกันสินค้าสวมสิทธิ์ ที่สหรัฐไม่อยากเห็น ขณะนี้ยังตกลงกันไม่ได้ในเรื่องสัดส่วนว่า ต้องผลิตในประเทศกี่เปอร์เซ็นต์ แต่เชื่อว่าต้องมากกว่า 40% แน่นอน โดยหากเข้าเกณฑ์สวมสิทธิก็จะโดนภาษีบวกเพิ่มสูงถึง 40% จากอัตราที่สหรัฐเก็บอยู่แล้ว และเป็นเกณฑ์ที่สหรัฐฯใช้เหมือนกันทั่วโลกเหมือนเวียดนาม

รองนายกฯและรมว.คลัง ยังกล่าวถึงสำหรับมาตรการเยียวยาอีกว่า หากมองผลกระทบ ตนเชื่อว่าจะมี 2 ระยะ ระยะแรก คือ ช่วง 2 เดือน ก่อนที่จะรู้อัตราภาษีที่ชัดเจน พบว่ามีการชะลอการส่งออก เพราะไม่รู้จะส่งออกไปแล้วเสียภาษีเท่าไหร่ ดังนั้น ช่วงดังกล่าวผู้ประกอบการจะขาดเงินสด ภาครัฐจึงออกมาตรการสินเชื่อซอฟต์โลนช่วยเหลือเป็นการช่วยชั่วคราว และ ระยะสอง ถือช่วงถัดมาที่ต้องมีการปรับตัวเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ซึ่งตรงนี้ ได้มีการจัดตั้งกองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันอยู่แล้ว

ทั้งนี้ ตนได้แกนนำสภาหอการค้า และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย โดยขอให้ช่วยเก็บข้อมูล แยกเป็นรายเซ็กเมนต์แต่ละกลุ่ม ว่ากลุ่มสินค้า/อุตสาหกรรมไหนที่สู้ได้และสู้ไม่ได้ ใครต้องการจะสู้ตรงไหน ซึ่งการสู้มี 2 วิธี คือ 1.ต้องการเงินลงทุนเพื่อปรับปรุงเครื่องจักรให้เป็นดิจิทัลมากขึ้น ทำงานเร็วขึ้น และ 2. แมตชิ่งธุรกิจ อย่างซัพพลายเชน รถยนต์ไฟฟ้า (อีวี) เป็นต้น

“ในแง่การขยายตัวของเศรษฐกิจ ถือว่าไทยยังคงรักษาความไม่เสียเปรียบเอาไว้ได้ มีแค่สะดุดในช่วง 3-4 เดือนก่อนหน้านี้ ทั้งนี้ คงต้องดูภายใต้โครงสร้างเศรษฐกิจเดิมที่รอการเปลี่ยนแปลงอยู่ ว่าจะทำได้ดีแค่ไหน จากที่เราเคยประเมินว่าศักยภาพเศรษฐกิจไทย (จีดีพี) จะเติบโตได้ประมาณ 3% ซึ่งเราทำได้ระดับนี้มาหลายไตรมาส แม้กระทั่งไตรมาส 2 นี้ ก็คาดว่าจะได้ประมาณนี้ ส่วนระยะยาว ก็ขึ้นกับว่าจะปรับเปลี่ยนมาใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ได้แค่ไหน ซึ่งที่ผ่านมาประเมินว่า จะทำได้ 2% หรือต่ำกว่า” นายพิชัย ย้ำและว่า…

ก่อนหน้าที่เราจะได้ข้อสรุปอัตราภาษีกับสหรัฐฯ หลายฝ่ายปรับลดจีดีพีเหลือแค่ 2.2% แต่ตอนนี้ทุกอย่างชัดเจนแล้ว ส่วนตัวมองว่าหากเราสามารถแผนปรับให้ชัดเจน และสามารถลดปัญหาเชิงโครงสร้างให้มีความสะดวก เชื่อว่าจะดึงดูนักลงทุนต่างชาติเข้ามามากขึ้น เนื่องจากการลงทุนช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ถือว่าตกต่ำลงไปมาก เหลือแค่ 20% ของจีดีพีเอง รัฐบาลคาดหวังจะเห็นส่วนการลงทุนจากต่างชาติเพิ่มเป็น 30-35% เชื่อว่าจะเป็นประโยชน์ต่อภาพรวมของเศรษฐกิจไทย

ด้าน นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลไทยสามารถเจรจาและบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับอัตราภาษีนำเข้าต่างตอบแทน (Reciprocal Tariffs) กับสหรัฐอเมริกาได้สำเร็จ โดยขณะนี้ รัฐบาลสหรัฐฯ ได้ประกาศแล้วว่าจะเรียกเก็บอัตราภาษีนำเข้าฯ จากสินค้าของไทยในอัตรา 19% ซึ่งข้อตกลงดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป

โดยอัตราภาษีดังกล่าวที่ ต่ำกว่าอัตราเดิมที่ 36% และยังคงเกาะกลุ่มอยู่ในระดับใกล้เคียงกับประเทศในภูมิภาค อาทิ เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และญี่ปุ่น ทั้งนี้ รัฐบาลเชื่อว่าไทยจะสามารถรักษาการแข่งขันได้ เมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งได้เจรจากับสหรัฐฯ สำเร็จแล้วก่อนหน้านี้

การปิดดีลครั้งนี้ของรัฐบาลไทย ในระดับภาษีนำเข้าฯ ไว้ที่ 19% ถือเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จสำคัญของทีมไทยแลนด์ ในแนวทาง win-win เพื่อรักษาฐานการส่งออกและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว ย้ำถึงศักยภาพของประเทศไทยในเวทีการค้าโลก ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงในนโยบายการค้าระหว่างประเทศ” นายจิรายุ กล่าว.

Login

Welcome! Login in to your account

Remember me Lost your password?

Lost Password