สวนแรง! อดีตบิ๊กแบงก์ชาติ ชี้! ‘ใกล้ชิดรัฐบาลไม่ใช่เสื่อมความเชื่อมั่น?’

“ผู้ช่วย รมต.พาณิชย์” สวนกลับแรง! “ธาริษา วัฒนเกส” ยืนยัน! ผู้ว่าแบงก์ชาติคนปัจจุบัน เคยใกล้ชิดรัฐบาลลุงตู่ ในฐานะ “ที่ปรึกษานายกฯ” ย้ำ! การใกล้ชิดรัฐบาลไม่ใช่เสื่อมความเชื่อมั่น!!!
นายวรวงศ์ รามางกูร ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงพาณิชย์ ให้สัมภาษณ์ตอบโต้กรณีที่ ดร.ธาริษา วัฒนเกส อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ส่งจดหมายเปิดผนึกถึง “รมว.คลัง” (นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง) ลงวันที่ 8 ก.ค. 2568 ที่ผ่านมา โดยระบุว่า…
“ก่อนอื่น…ผมต้องขอขอบคุณ ดร.ธาริษา ที่ให้ข้อเสนอแนะ ซึ่งผมเห็นพ้องตรงกันกับท่านว่า ผู้ว่าการ ธปท. ซึ่งเป็น ตำแหน่งที่มีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจและเสถียรภาพการเงินของประเทศ จึงต้องพิจารณาคัดเลือกอย่างรอบคอบ แคนดิเดททั้งสองท่านผ่านการคัดเลือกจากคณะกรรมการคัดเลือกซึ่งประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิมากมาย เป็นผู้มีความสามารถดีเยี่ยม ทั้ง 2 ท่านเหมาะสมกับตำแหน่งทุกประการ”
ก่อนจะย้ำว่า…“ส่วนตัวผมยึดมั่นในหลักความเป็นอิสระของธนาคารกลางเสมอมา และเชื่อว่าความเป็นอิสระนั้นสามารถเดินร่วมรัฐบาลได้อย่างเหมาะสม ไม่จำเป็นต้องขัดแย้งกัน”
อย่างไรก็ตาม ตนไม่เห็นพ้องด้วยกับบางข้อความในจดหมาย โดยเฉพาะกรณีที่ ดร.ธาริษา ระบุว่า หากผู้ว่าการ ธปท. คนใหม่ “ใกล้ชิดรัฐบาล” จะทำให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนเสื่อมถอย ซึ่งถือเป็นการตั้งธงข้อสรุปล่วงหน้าโดยขาดหลักฐาน และเป็นการเหมารวมโดยไม่ยุติธรรม
“ความใกล้ชิดกับรัฐบาล ไม่ได้หมายความว่าจะขาดความเป็นอิสระในการดำเนินนโยบายเสมอไป ตัวอย่างเช่น คุณเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการ ธปท. ท่านปัจจุบัน ก็เคยเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา แต่ยังได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในระดับสากลว่าเป็นผู้ดำเนินนโยบายการเงินที่เป็นอิสระจากรัฐบาลอย่างแท้จริง” นายวรวงศ์ กล่าว
นอกจากนี้ เขายังชี้ว่า การทำงานร่วมกันระหว่าง ธปท. และรัฐบาล ภายใต้เป้าหมายเศรษฐกิจร่วมกัน ไม่ได้ลดความเป็นอิสระ หากแต่สามารถส่งเสริมเสถียรภาพเศรษฐกิจและเพิ่มความเชื่อมั่นของนักลงทุนได้ ปัจจุบัน รัฐบาลนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร มียอดขอรับการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI ในปี 2567 สูงถึง 1.13 ล้านล้านบาท และในไตรมาสแรกของปี 2568 ยังเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 97 จากปีก่อนหน้า แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุน หาก ธปท. มีเป้าหมายทางเศรษฐกิจที่สอดคล้องกับรัฐบาล จะยิ่งเพิ่มความเชื่อมั่นเป็นทวีคูณ
ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงพาณิชย์ ยังแสดงความเห็นว่า การยกตัวอย่างของ ดร.ธาริษา ที่มองว่าค่าเงินบาทอ่อนและดอกเบี้ยต่ำสะท้อนภาวะเศรษฐกิจย่ำแย่ ถือเป็นการสร้างมายาคติที่คลาดเคลื่อน พร้อมย้ำว่า ประเทศไทยเป็น “เศรษฐกิจขนาดเล็กและเปิด (Small open economy)” ซึ่งพึ่งพาการส่งออกและการท่องเที่ยวสูง การรักษาอัตราแลกเปลี่ยนให้อยู่ในระดับเหมาะสมจึงเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้ขยายตัว
“ประเทศไทยเป็นประเทศขนาดเศรษฐกิจเล็กและเปิด (Small open economy) เงินเฟ้อไทยจึงเกิดขึ้นจากปัจจัยด้านอุปทาน (Supply) ที่มาจากต่างประเทศ เช่น ราคาน้ำมันที่ปรับขึ้น-ลง ซึ่งอยู่นอกเหนือความสามารถของนโยบายการเงินที่จะควบคุมได้” นายวรวงศ์ อธิบายเพิ่มเติม พร้อมกับระบุว่า…
ในอดีต ดร.ธาริษา เคยใช้นโยบายดอกเบี้ยสูงและเงินบาทแข็ง ส่งผลให้ Nominal GDP เติบโตลดลงเหลือเฉลี่ยร้อยละ 3 กว่าต่อปี เมื่อเทียบกับช่วงก่อนหน้าของ ม.ร.ว. ปรีดียาธร เทวกุล ที่เติบโตเฉลี่ยร้อยละ 5 ต่อปี ทั้งนี้ เมื่อคิดในรูปของ Real GDP ช่วง ดร.ธาริษา ขยายตัวเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณร้อยละ 0.6 ต่อปี ขณะที่สมัย ม.ร.ว. ปรีดียาธร อยู่ที่ร้อยละ 2.4 ต่อปี ส่วนในปัจจุบันภายใต้รัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร เฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 2.0 ทุกไตรมาส
นอกจากนั้น จากข้อมูลพบว่า สมัย ดร.ธาริษา ดำรงตำแหน่ง ผู้ว่าการ ธปท. ค่าเงินบาทแข็งค่าจาก 37.66 เป็น 30.55 บาท/ดอลลาร์ ขณะที่หนี้ครัวเรือนต่อ GDP พุ่งจากร้อยละ 43.5 เป็น 57.9
นายวรวงศ์ ยังกล่าวอีกว่า เศรษฐกิจไทยยังอยู่ในช่วงขยายตัว โดยตั้งแต่ไตรมาส 3 ของปี 2567 จนถึงปัจจุบัน มีอัตราการเติบโตต่อเนื่องไม่ต่ำกว่าร้อยละ 3 ติดต่อกัน 3 ไตรมาส และคาดว่าไตรมาส 2 ของปี 2568 ก็จะยังขยายตัวได้ดีอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่ากังวลคือ ภาวะเงินเฟ้อติดลบ ที่เกิดขึ้นต่อเนื่อง 3 เดือน อยู่ในช่วงระหว่าง –0.57% ถึง –0.22% โดยแม้ อัตราเงินเฟ้อทั่วไป (YoY) จะติดลบ แต่เงินเฟ้อพื้นฐานยังเป็นบวกเล็กน้อย และเนื่องจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปรายเดือนเทียบกับเดือนก่อนหน้า (MoM) ยังคงมีลักษณะลดลงสลับกับเพิ่มขึ้นบ้าง จึงยังไม่ถือว่าเข้าสู่ภาวะ “เงินฝืด” อย่างสมบูรณ์ ทั้งนี้ ดัชนีราคาผู้ผลิตในเดือน มิ.ย.ที่ติดลบถึง –4.0% ประกอบกับความไม่แน่นอนทางการค้าในครึ่งปีหลัง เป็นสัญญาณปัจจัยลบที่ควรเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด
ผมอยากเห็นธนาคารแห่งประเทศไทย พิจารณาผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติม เพื่อเปิดโอกาสให้เศรษฐกิจขยายตัวได้ต่อเนื่องในช่วงครึ่งปีหลัง” นายวรวงศ์ กล่าวทิ้งท้าย.