ล้มได้…ก็ล้ม! กับโครงการ ‘ล่มปากอ่าว?’

จะว่าไปแล้ว…ชาวบ้านร้านตลาด ต่างรู้และทำใจกันอยู่ก่อนแล้ว กับเรื่อง โครงการ “ล่มปากอ่าว?” หรือการแจกเงินหมื่นบาท…ที่ส่อแววว่าจะไปต่อไม่ได้!!??…

ไม่ใช่เพราะเหตุผลที่ รัฐบาลหมดเงิน เพียงอย่างเดียว  แต่เพราะมันพิสูจน์ให้เห็นผลเป็นที่ประจักษ์ชัดแล้วว่า…ไม่ได้ก่อประโยชน์เชิงบวกใดๆ ต่อระบบเศรษฐกิจไทย

 ไม่เพียง…ไม่กระตุ้น หากแต่จะฉุดรั้งเอาเศรษฐกิจให้ลงต่ำ…ถลำลึกกันไป เสียมิว่า???

นั่นเพราะ…บางส่วนของคนไทย เริ่มงอมืองอเท้า ไม่คิดทำมาหากิน วันๆ มัวแต่นั่งฝัน…นอนฝัน ว่าจะรอรับเงินแจก 10,000 บาทจากรัฐบาล

แล้วไง? จนป่านนี้…มีอะไรที่จะทำให้คนไทย “หัวใจพองโต” กันได้บ้าง…

ก่อนหน้านี้ ตั้งชื่อโครงการเอาไว้เสียสวยหรู! โครงการเติมเงินผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัล 10,000 บาท ก่อนจะเปลี่ยนไปใช้ชื่อใหม่เป็น…โครงการเติมเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ 10,000 บาท

รัฐบาลวาดฝันจะสร้าง พายุหมุนเศรษฐกิจ 2 – 3 – 4 – 5 รอบ ชนิด…เศรษฐกิจไทยจะต้องเติบโตในแบบ…ทบเท่าทวีคูณ!!!

เป็น บก.ข่าวของสำนักข่าวยุทธศาสตร์ออนไลน์ เอง ที่เคยถามเอากับ อดีตนายกฯเศรษฐา ทวีสิน สมัยที่ยังดำรงตำแหน่ง “หัวหน้ารัฐบาล” ควบเก้าอี้ “รมว.คลัง” เมื่อวันแรกที่ได้เข้ากระทรวงการคลัง (14 กันยายน 2566) ประมาณว่า…หากโครงการแจกเงินหมื่นสำเร็จ จากสิบคะแนนเต็ม…นายกฯจะให้คะแนนตัวเองเท่าใด?

“11 (คะแนน)” คือคำตอบจากปาก อดีตนายกฯเศรษฐา ที่ทำเอาในวันต่อๆ มา คนพูด…ถูกวิจารณ์ในเชิงลบกันแบบอึงมี่ สนั่นเมือง!!!

นาทีนี้ หากจะมีใคร ถ่มน้ำลาย…ถุยส์!!! กับวลี…พายุหมุนเศรษฐกิจ!!! ก็อย่าได้แค้นเคือง เพราะ พายุหมุนเศรษฐกิจที่แท้ทรู นั่นคือ ลมพายุที่พัดพาเอาธุรกิจห้างร้าน และความหวังของคนไทย พังทลายกันลงไป นั่นเอง

หลังแจกเงินหมื่นกันไป 2 รอบ…รอบแรก แจกเงินสดๆ โอนเข้าบัญชีพร้อมเพย์ให้กับ กลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและคนพิการ รวม 14 ล้านคนเศษ รอบสอง แจกเป็นเงินสด โอนเข้าบัญชีพร้อมเพย์เช่นกัน ให้กับ กลุ่มผู้สูงอายุ วัย 60 ปีอัพ อีกกว่า 4 ล้านคน

รอบสาม ที่เคยบอกว่าจะต้องแจกแน่ๆ ให้กับ กลุ่มคนอายุ 16 ปี ถึง 20 ปี ประมาณ 2.7 ล้านคน ในช่วงหลังเทศกาลสงกรานต์ ต่อด้วย รอบที่สี่…รอบสุดท้าย แจกส่วนที่เหลือให้กับ คนอายุ 20 ปีขึ้นไป แต่ไม่ถึง 60 ปี ซึ่งเป็นกลุ่มก้อนใหญ่ อีกราว 16 ล้านคน

ล่าสุด นายฯแพทองธาร ชินวัตร เพิ่งจะให้สัมภาษณ์ ผู้สื่อข่าวประจำทำเนียบรัฐบาล ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อช่วงบ่ายวันนี้ (6 พ.ค.2568) ทำนอง…

“ยังไม่ได้นำเข้าสู่ที่ประชุม ครม.ค่ะ…

ไปฟังเหตุผลลึกๆ กัน…

“…วันนี้ ซึ่งขณะนี้ ยังอยู่ในระหว่างการรอความคิดเห็นจากหน่วยงานต่างๆ ประกอบกับวันนี้เ กิดสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่เปลี่ยนแปลงไป เพราะฉะนั้น หลายๆ หน่วยงาน เช่น สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีความคิดเห็นเข้ามา ซึ่งก็ต้องรับฟัง เพราะความตั้งใจของโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ก็คือ การกระตุ้นเศรษฐกิจ เพราะฉะนั้นเมื่อมีปัจจัยแทรกเข้ามา ก็ต้องไปดูว่าจะมีปัจจัยอะไรบ้างที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจได้ จึงต้องรับฟังความคิดเห็นจากผู้รู้ในทุกๆ หน่วยงาน

ผู้สื่อข่าวถามต่อ…มีกระแสข่าวว่ารัฐบาลมีความคิดจะยกเลิกโครงการในส่วนที่เหลือ? (รอบ 3 และ 4) คำตอบที่ได้รับจากคนเป็น นายกรัฐมนตรี คือ…

“โอ้!…ขณะนี้รัฐบาลยังไม่มีมติว่าจะยกเลิกโครงการฯ ขอย้ำว่ายังอยู่ในช่วงของการรับฟังความคิดเห็น ซึ่งต้องไปรับฟังให้ครบจากทุกหน่วยงานก่อน ว่ามีความจำเป็นมากน้อยแค่ไหนในเรื่องการกระตุ้นเศรษฐกิจ และเงินก้อนนี้จะสามารถทำอะไรได้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อคนทั้งประเทศ ซึ่งถือเป็นเป้าหมายที่สำคัญที่สุด และต้องมองไปที่เป้าหมายจะทำเพื่ออะไร เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ เพราะฉะนั้นสุดท้ายแล้ว เมื่อรับฟังความเห็นจากทุกหน่วยงานแล้วมีผลออกไปอย่างไร เพราะฝ่ายบริหารไม่สามารถตัดสินใจ แล้วเดินหน้าต่อได้เลย ต้องดูเรื่องนี้ประกอบด้วย”

ผู้สื่อข่าวยังคงรุกเร้า ผ่านคำถามที่ว่า…รัฐบาลยังไม่รับประกันใช่หรือไม่ว่าจะเดินหน้าโครงการดิจิทัลวอลเล็ตเฟส 3 และ 4 ต่อไป? นายกฯแพทองธาร อ้ำอึ้งตอบว่า…

“ขณะนี้…ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง ย้ำว่าสิ่งที่ทำขณะนี้ก็คือการรับฟังความคิดเห็น”

คำถามจากสื่อมวลชน ยังคงโฟกัสไปที่เฟสที่ 3 ที่สุดรัฐบาล…จะถูกชะลอไปก่อนหรือเป็นไปตามกำหนดการจ่ายเงินตามเดิม? นายกฯแพทองธาร ตอบแบบย้ำๆ และซ้ำรอยเดิมว่า…

“ขณะนี้…ยังรับฟังความคิดเห็นได้ไม่ครบ เพราะขณะนี้ มีปัจจัยแทรกเข้ามา คือ มาตรการภาษีของสหรัฐอเมริกา ก็ต้องรอก่อนว่าเมื่อมีความเห็นครบ แล้วยังไงต่อ จึงจะกำหนดได้ว่า จะเลื่อนหรือไม่เลื่อน แต่ขณะนี้ ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ยังเป็นเดิม อย่างไรก็ตาม ก็ต้องขอรับฟังข้อมูลให้ครบก่อน จึงจะแจ้งได้”

ผู้สื่อข่าวถามอีกว่า หากไม่เดินหน้าต่อจะกระทบกับรัฐบาลหรือไม่ เพราะเป็นนโยบายที่แถลงไว้ต่อรัฐสภา? นายกรัฐมนตรี ดีกรีลูกสาวคนเล็กของ “อดีตนายกฯทักษิณ” ผู้เป็นเจ้าของทฤษฎี “ทักษิโณมิกส์” อันลือลั่น ระหว่างปี 2544 – 2548 ตอบว่า…

“ก็ต้องปรับความเข้าใจ เพราะมีปัจจัยที่เข้ามาแบบที่ไม่ได้คาดฝัน ซึ่งเกิดขึ้นทั่วโลก ไม่ใช่แค่ประเทศไทย จึงต้องรับฟังด้วยเหตุและผลว่าอย่างไร ซึ่งจะเปลี่ยนไปอย่างไรหรือไม่เปลี่ยนไปอย่างไร ก็ต้องมีคำอธิบายจากรัฐบาลอยู่แล้ว

เอากันเฉพาะประเด็น “แจกเงินหมื่นบาท” ก็พอ…

สรุปรวมความให้กระชับ! รัฐบาลแพทองธาร ติดเบรกโครงการแจกเงินหมื่น รอบ 3 และ 4 โดยไม่ยืนยันว่า…จะไปต่อหรือไม่?

ทั้งที่ตัวเอง “รู้อยู่แก่ใจ” ว่า…มันยากที่จะไปต่อได้

ถามคนไทยทั้งแผ่นดิน รู้สึกอย่างไรกับสถานการณ์นี้? เชื่อว่า…ส่วนใหญ่ ทำใจยอมรับได้ แต่ที่รับกันไม่ได้ ก็คือ อาการ “ปากแข็ง” ของคนเป็นผู้นำประเทศ ที่ตอบคำถามแบบวกไปวนมา ชนิดไม่ยอมรับว่า…โครงการแจกเงินหมื่น มันไม่เวิร์ก ไม่สามารถจะสร้างพายุหมุน เพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ ได้แม้นิดเดียว

ที่ผ่านมา มันไม่ต่างจากสำนวนไทยที่ว่า “ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ!” สักเท่าใด? ฉะนั้น เลิกได้ก็ดีแล้ว ดีทั้งต่อเศรษฐกิจ และดีต่อการทำลายความหวังของคนอายุ 16 – 60 ปี รวมกันแค่ (2.7 + 16) 18.7 ล้านคนเอง

พลิกลิ้น!…ข้ามฝั่ง จับพรรคการเมืองข้ามขั้ว จัดตั้งรัฐบาล ก็ทำกันมาแล้ว

จะพลิกลิ้น! เลิกโครงการผลาญงบประมาณแผ่นดิน โดยมิอาจสร้างพายุหมุนทางเศรษฐกิจ อีกสักครั้ง! เชื่อว่า…คนไทยทำใจ…รับได้อยู่แล้ว

เพียงแต่รอบหน้า…อย่าได้คิดมาใช้เวที “ผู้นำประเทศ” เพื่อผิดลอง…ลองถูกกันอีกเลย!!!.

Login

Welcome! Login in to your account

Remember me Lost your password?

Lost Password