ยึด ‘สตง.ต่างชาติ’ วางแนวทางสกัดโครงการก่อสร้างถล่ม! ชงเก็บ ‘หลักประกัน’ รับมือรัฐถูกชาวบ้านฟ้องเรียกเงิน

ผู้ว่าฯสตง.ประชุมและสั่งการด่วน! ส่งทีม สตง.ลงพื้นที่ วางแนวทางตรวจสอบโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ ใช้เหตุการณ์สะพานพระราม 5 ถล่มเป็น “ต้นแบบ” ยึดแนวทาง สตง.4 ชาติ “เกาหลีใต้ – สหรัฐฯ – เนเธอร์แลนด์ – ออสเตรเลีย” สร้างโมเดลป้องกันในอนาคต พร้อมเสนอรัฐบาลบังคับใช้กับทุกโครงการรัฐมูลค่า 500 ล้านบาทขึ้นไป
เผย! ข้อเสนอสร้างหลักประกันก่อสร้างเรียกเร็บจากภาคเอกชน ป้องกันรัฐบาลถูกประชาชนฟ้องเรียกค่าเสียหาย ด้าน “โฆษก สตง.” เห็นต่าง รองฯสุริยะ ชี้! เป็นหน้าที่สภาวิศวกร ไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินหลวงว่าจ้างสอบซ้ำ หวั่นไม่เชื่อมั่น ขรก.ในสังกัด

วันที่ 18 มี.ค.2568 เวลา 14.00 น. ณ ห้องแถลงข่าว บริเวณโถงชั้น 1 อาคารสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.), นายสุทธิพงษ์ บุญนิธิ รองผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ในฐานะ โฆษกสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน และ นายสุทธิ สุนทรานุรักษ์ ที่ปรึกษาตรวจเงินแผ่นดิน ร่วมแถลงข่าวภายหลังประชุมร่วมกับ นายมณเฑียร เจริญผล ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน (ผู้ว่าฯสตง.) และ ผู้บริหาร สตง.ที่เกี่ยวข้อง เมื่อ 1 ช.ม.ก่อนหน้านี้
โฆษก สตง. แถลงว่า จากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นบนถนนพระราม 2 เมื่อวันที่ 15 มี.ค.ที่ผ่านมา ทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก สะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นในการกำกับดูแลมาตรฐานความปลอดภัยของโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ สตง. ในฐานะหน่วยงานที่มีหน้าที่ตรวจสอบการใช้จ่ายเงินของแผ่นดิน ตระหนักถึงความสำคัญของปัญหาดังกล่าว ซึ่งก่อนหน้าได้ศึกษาแนวทางการตรวจสอบด้านความปลอดภัยของโครงการขนาดใหญ่จากองค์กรตรวจเงินแผ่นดินในต่างประเทศ อาทิ สตง.เกาหลีใต้ (BAI) สตง.เนเธอร์แลนด์ (NCA) สตง.สหรัฐอเมริกา (GAO) และ สตง.ออสเตรเลีย (ANAO) โดยมีแนวทางการตรวจสอบที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการกำกับดูแลความปลอดภัยในโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ของไทย

“ภายหลังการประชุมฯเมื่อช่วงบ่ายวันนี้ (18 มี.ค.) ผู้ว่าฯสตง. จึงได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งถอดบทเรียนและสร้างโมเดลป้องกันการเกิดเหตุการณ์ทำนองนี้ในอนาคต ทั้งนี้ สตง.เอง ก็ได้ทำการศึกษาแนวทางจาก สตง.ในหลายๆ ประเทศมาบ้างแล้ว” นายสุทธิพงษ์ กล่าว พร้อมสรุปแนวทางเอาไว้ดังนี้
1. การประเมินความเสี่ยงโครงการผ่านเครื่องมือที่เป็นระบบ ทั้งนี้ สตง.เกาหลีใต้ ได้พัฒนา Risk Analysis Model ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการวิเคราะห์เพื่อคำนวณค่าความเสี่ยงและจัดระดับความเสี่ยงของโครงการขนาดใหญ่ โดยพิจารณาจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น ความซับซ้อนของโครงการ ประวัติผู้รับเหมา ประวัติอุบัติเหตุ และการปฏิบัติตามมาตรฐานความปลอดภัย และ ปัจจุบัน สตง.ไทย ได้นำแนวทางนี้มาพัฒนาเป็น MIRA (Mega Project Integrity Risk Assessment) ซึ่งเป็นระบบประเมินความเสี่ยงที่สามารถช่วยกำหนดระดับความเข้มข้นในการตรวจสอบโครงการขนาดใหญ่ โดยจะนำมาใช้กับโครงการก่อสร้างสะพานพระราม 2 เป็นการนำร่อง
2. การสอบทานคุณสมบัติของผู้รับเหมาอย่างละเอียด โดย สตง.สหรัฐอเมริกาใช้แนวทาง Past Performance Review เพื่อช่วยหน่วยงานรัฐในการสอบทานประวัติของผู้รับเหมาก่อนอนุมัติให้เข้าร่วมโครงการ โดยเน้นพิจารณาประวัติการทำงานก่อนหน้า อุบัติเหตุในอดีต และการปฏิบัติตามมาตรฐานความปลอดภัย

3. การนำเทคโนโลยีมาช่วยประเมินความปลอดภัย ซึ่ง สตง.เนเธอร์แลนด์ได้นำเทคโนโลยี 3D Modeling และ Simulation มาใช้ในการตรวจสอบความมั่นคงของโครงสร้างก่อนเริ่มการก่อสร้าง เพื่อจำลองสถานการณ์และระบุจุดเสี่ยงที่อาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุ
4. การส่งเสริมความโปร่งใสผ่านรายงานความปลอดภัย ทั้งนี้ สตง.ออสเตรเลียแนะนำให้หน่วยงานที่รับผิดชอบโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่รายงานความคืบหน้าด้านความปลอดภัยอย่างสม่ำเสมอ และเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะ
“สตง. ให้ความสำคัญกับประเด็นความปลอดภัยในโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ โดยเน้นการนำแนวทางสากลและเทคโนโลยีสมัยใหม่ มาปรับใช้เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการตรวจสอบ พร้อมทั้งยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยเพื่อป้องกันอุบัติเหตุและความสูญเสียที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต” โฆษก สตง. ย้ำ
ทั้งนี้ การถอดบทเรียนของโครงการก่อสร้างถนนพระราม 2 ไม่เพียงจะนำระบบ MIRA มาใช้เพื่อประเมินความเสี่ยง และบริหารจัดการความปลอดภัย หากยังจะนำไปใช้กับโครงการอื่นๆ ของภาครัฐที่มีมูลค่าตั้งแต่500 ล้านบาทขึ้นไป รวมถึง โครงการร่วมทุนระหว่างรัฐและเอกชน (PPP) และไม่เฉพาะกับโครงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่เท่านั้น หากโครงการไหนมีความเสี่ยงต่อความสูญเสียของชีวิตผู้คนและเงินงบประมาณแผ่นดิน จะต้องนำแนวทางนี้ไปใช้เช่นกัน

“เบื้องต้น สตง.หวังว่า การถอดบทเรียนและสร้างโมเดลป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต จะแล้วเสร็จภายในระยะเวลา 30 วันทำการ (หลังเทศกาลสงกรานต์) ซึ่งเมื่อได้โมเดลฯแล้ว ทาง ผู้ว่าฯสตง.จะทำหนังสือไปถึงฝ่ายบริหารในคณะรัฐบาลได้พิจารณา เพื่อประชุมและสั่งการไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตามที่กฎหมายกำหนดเอาไว้ เชื่อว่าหากทุกฝ่ายยึดแนวทางดังกล่าว ปัญหาที่เคยเกิดคงจะคลี่คลายลงได้” โฆษก สตง. ย้ำ
ทั้งนี้ หนึ่งในแนวทางที่มีการเสนอในที่ประชุมฯเมื่อช่วงบ่าย คือ การกำหนดหลักประกันในการก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่ที่มีความเสี่ยงสูง เหมือนที่ต่างประเทศมีการกำหนดไว้ในอัตรา 10-15% ของมูลค่าโครงการฯ ส่วนในไทยจะเป็นอัตราเท่าใดนั้น ขึ้นกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะมาร่วมประชุมหารือเพื่อกำหนดอัตราที่เหมาะสมต่อไป โดยหากมีการกำหนดหลักประกันฯขึ้นมา ภาครัฐเองอาจต้องขยายสัดส่วนกำไรสุทธิ์ให้กับภาคเอกชนผู้รับเหมาก่อสร้างโครงการฯเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันที่มีสัดส่วนราว 17-18% พร้อมกับสร้างทางเลือกในการทำหลักประกันฯแทนเงินสด เพื่อไม่เป็นการปิดช่องทางดำเนินงานของภาคเอกชนผู้รับเหมาก่อสร้างโครงการฯทั่วไป ทั้งนี้ แนวทางดังกล่าว สามารถลดปัญหาที่เกิดขึ้นจากการที่ภาคประชาชน ซึ่งได้รับความเสียหายและเกิดความสูญเสียในชีวิตและทรัพย์สินจากการก่อสร้างโครงการของรัฐ ทำการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายได้ในอนาคต

นายสุทธิพงษ์ ยังกล่าวอีกว่า จากข้อมูลการเกิดอุบัติเหตุกับโครงการก่อสร้างสะพานพระราม 2 นับแต่ปี 2565 – ปัจจุบัน (2568) พบว่า มีมากถึง 10 เหตุการณ์ (ดูภาพประกอบ : Timeline การเกิดอุบัติเหตุฯ) ทั้งนี้ จากข้อมูลอุบัติเหตุในช่วงเวลาดังกล่าว พบว่า เป็นอุบัติเหตุขนาดใหญ่ และส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของประชาชน รวมถึงผู้ปฏิบัติงานในโครงการฯ แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือ 1.กลุ่มอุบัติเหตุจากโครงสร้าง 2.กลุ่มอุบัติเหตุจากเครื่องจักรและอุปกรณ์หนัก และ 3.กลุ่มอุบัติเหตุจากปัจจัยแวดล้อม ทั้งนี้ ทุกกลุ่มล้วนมีคนเกี่ยวข้องมากที่สุด หากทำให้คนมีความตระหนักรู้และรับผิดชอบกับงานที่ทำแล้ว เชื่อว่าปัญหาคงจะมีน้อยลง

สำหรับการลงพื้นที่ตรวจสอบโครงการก่อสร้างสะพานพระราม 2 นั้น ก่อนหน้านี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องของ สตง. ได้ลงพื้นที่ไปก่อนหน้านี้แล้ว โดยการตรวจสอบของ สตง. ในครั้งนี้ เป็นไปเพื่อมุ่งเน้นบริหารจัดการความปลอดภัย โดยยึดแนวทาง MIRA จึงไม่จำเป็นจะต้องทำงานร่วมกับ “กลุ่ม 4 ป.” (ป.ป.ง., ป.ป.ช., ป.ป.ท. และตำรวจ บก.ปปป.) ที่ได้มีการลงนามเอ็มโอยูไปก่อนหน้านี้ ส่วนหาก นายกรัฐมนตรี จะให้ สตง.ประสานงานกับทาง กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) สตง.ก็พร้อมดำเนินการ เนื่องจากกฎหมายกำหนดหน้าที่ของ สตง.เอาไว้แล้ว เมื่อได้ข้อมูลข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตเงินงบประมาณแผ่นดิน ก็จะต้องส่งต่อข้อมูลไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงดีเอสไอ หากมีข้อสั่งการลงมาจากนายกรัฐมนตรี
ส่วนกรณีที่ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คมนาคม แจ้งว่า กระทรวงคมนาคมมีแนวคิดจะว่าจ้างให้สภาวิศวกรมาช่วยตรวจสอบโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่นั้น โฆษก สตง. เห็นว่า ในต่างประเทศ สมาชิกสภาวิศวกรก็เข้ามามีส่วนร่วมในการตรวจสอบโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่อยู่แล้ว โดยภาครัฐไม่ต้องเสียเงินเป็นค่าจ้าง เพราะเหมือนเป็นหน้าที่ความรับผิดชอบของสภาวิศวกรอยู่แล้ว ส่วนตัวไม่เห็นด้วยหากรัฐบาลและกระทรวงคมนาคมจะต้องใช้จ่ายงบประมาณในส่วนนี้เพื่อว่าจ้างสภาวิศวกรมาช่วยตรวจสอบดูแลอีกชั้นหนึ่ง เพราะนั่นเท่ากับว่าฝ่ายบริหารไม่เชื่อมั่นในการปฏิบัติหน้าที่ของฝ่ายข้าราชการที่เกี่ยวข้อง แต่หากยังคงยืนยันและใช้จ่ายงบประมาณที่เหมาะสม แล้วสามารถลดปัญหาและลดความสูญเสียได้ ก็สามารถทำได้.