“นายกฯอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร เคยพลาดกับวลีเด็ด “ปิดสวิทซ์ 3 ป. + มีกิน…มีใช้ฯ” เมื่อคราวหาเสียงเลือกตั้งปี 2566

แต่ก็กลับมาได้ใหม่! เมื่อครั้งสั่ง “ตัดไฟ + ตัดเน็ต + ห้ามส่งออกน้ำมันสำเร็จรูป” ไปยังเมียนมา เพื่อปิดทุกช่องทางของ ขบวนการค้ามนุษย์และแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่ “กลุ่มจีนเทา” รุกทำธุรกิจหลอกลวงอยู่ในประเทศเพื่อน

กับวลีงามๆ “เป็นนายกฯของคนไทย…”

ก่อนพูด…เราเป็นนาย หลังพูด…คำพูดเป็นนายเรา! สิ่งนี้…คือสัจธรรมสำหรับคนเป็น “บุคคลสาธารณะ”

พูดไม่คิด…ชีวิตเปลี่ยน!

กรณี “บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล อดีตรอง ผบ.ตร. ที่เคยปฏิเสธว่า…ตัวเองไม่ได้ไป และไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ที่บ้านของ นายวันมูหะหมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภาไทยและประธานสภาผู้แทนราษฎร และที่สำคัญ เขายืนยันหนักแน่น…ไม่ได้เป็นคนแอบบันทึกคลิปการสนทนา ระหว่าง…นายวันนอร์ กับ นายสุชาติ ระกูลเกษมสุข ประธาน ป.ป.ช.ในวันดังกล่าว

ทว่า หลังจากมีคนจับโป๊ะ! ได้จาก…คลิปดังกล่าว เพราะ…เห็นมือ ลิสต์แบน และกางเกงของคนถ่ายคลิป ตรงกับภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหว ที่ เจ้าหน้าที่ตำรวจประจำบ้านของนายวันนอร์ ถ่ายเอาไว้ได้…

สถานการณ์ “จำนนต่อหลักฐาน” จนต้องยอมรับความจริง! จึงบังเกิดขึ้น…

นั่นเอง สำนวน “คำพูดเป็นนายเรา” จึงพรั่งพรูอยู่ในความทรงจำของคนไทยเกือบ 70 ล้านคนในทันที!!!

สิ่งนี้…มันบั่นทอน เครดิตความน่าเชื่อถือของคนพูดเป็นอย่างมาก

กระทั่ง เกิดปรากฏการณ์ “เท้าความหลัง” ดังกระหึ่มเมือง ทำนอง…ดีแล้วที่หลุด! อะไรประมาณนั้น

เรื่องนี้…ถือเป็นอุทาหรณ์สอนใจของคนเป็น “บุคคลสาธารณะ” และใครก็ตามที่คิดจะเดินอยู่ บนถนนการเมือง อย่าได้คิดสร้างวีรกรรม…ให้ “คำพูดเป็นนาย”

มิเช่นนั้น จะเข้าทางของฝ่ายตรงข้าม งัดกลยุทธ์ “ปราสาททราย” ที่สุดท้าย…ต่อให้สร้างได้สวยหรู เฉิดฉายขนาดไหน? เมื่อถูกน้ำทะเลซัดสาด ทุกอย่างก็พังทะลายลงมาได้เช่นกัน!!!.