สัมพันธ์น้องพี่ ‘ไทย-จีน’ : จุดวันกึ๋น! ‘นายกฯอิ๊ง’ ในสายตาชาติตะวันตก

ภาพใหญ่…ความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ชาติ ในโอกาสฉลองครบรอบปีที่ 50 ดังสำนวนแผ่นดินใหญ่ “จีน-ไทยใช่อื่นไกล…พี่น้องกัน” ย่อมไม่ถือว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดา? สำหรับการเดินทางมาเชื่อมต่อความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีของไทย ที่มีต่อสาธารณรัฐประชาชนจีนในรอบนี้
แน่นอนว่า…การเข้าพบเพื่อเยี่ยมคารวะและหารือร่วมกับ 3 บุคคลสำคัญ “ระดับท็อป” ของจีน ไล่ตั้งแต่…นายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดี ต่อด้วย นายจ้าว เล่อจี้ ประธานสภาประชาชนแห่งชาติ ปิดท้ายด้วยการหารือแบบเต็มคณะกับ นายหลี่ เฉียง นายกรัฐมนตรีจีน
ย่อมทำให้ ภาพของประเทศไทยถูกจับจ้องในแบบ “โฟกัส” ลงลึกมากยิ่งขึ้น ในสายตาของ รัฐบาลและสื่อหลายชาติ โดยเฉพาะ ฝั่งตะวันตก ที่มีประเด็นอยู่กับประเทศจีน?

แนวทางความร่วมมือระหว่างกัน “ไทย-จีน” ที่จะมีในทุกมิตินับจากนี้ไป ย่อมส่งผลสะเทือนต่อบางประเทศ ไม่เฉพาะประเทศปลายทางของแก๊งคอลเซ็นเตอร์และขบวนการค้ามนุษย์ หากยังรวมถึงชาติที่พยายาม ยกอ้างเรื่องหลักสิทธิมนุษยชน และกำลังจับจ้องแบบตาไม่กระพริบ ต่อท่าทีของรัฐบาลไทย กรณีปัญหาการส่งตัวผู้ลี้ภัยการเมืองอุยกูร์ให้กับทางการจีน และบางเรื่องอื่นๆ???
ทางการไทยจะรับมืออย่างไร? กับมุมมองที่แตกต่างของชาติมหาอำนาจตะวันตก จึงเป็นเรื่องที่ต้องขบคิดให้หนักหน่วง
อย่างไรก็ตาม ภาพที่เห็นจากการที่ น.ส.แพทองธาร เข้าพบกับ นายกรัฐมนตรีจีน ณ North Hall มหาศาลาประชาชน เมื่อเย็นวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2568 กระทั่ง นำไปสู่การร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามความตกลงระหว่างหน่วยงานไทย-จีน รวม 14 ฉบับ ไล่เรียงกันไป เริ่มตั้งแต่…
1. แถลงการณ์ร่วม ระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ว่าด้วยการพัฒนาสู่ความเป็นหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์อย่างรอบด้านระดับสูงผ่านวิสัยทัศน์การมองไปข้างหน้าและประชาชนเป็นศูนย์กลาง (ไม่มีการลงนาม)
2. ร่างบันทึกความเข้าใจ ว่าด้วยการส่งเสริมความร่วมมือด้านปัญญาประดิษฐ์ ระหว่างกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งราชอาณาจักรไทยกับคณะกรรมการการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน
3. ร่างบันทึกความเข้าใจ ว่าด้วยการแลกเปลี่ยนและความร่วมมือในด้านการพัฒนาเศรษฐกิจ ระหว่างสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติกับคณะกรรมาธิการการพัฒนาและการปฏิรูปแห่งชาติจีน
4. ร่างบันทึกความเข้าใจ ว่าด้วยการส่งเสริมความร่วมมือในการลงทุนด้านการพัฒนาสีเขียว ระหว่างกระทรวงพลังงานแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงพาณิชย์แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน

5. ร่างบันทึกความเข้าใจ ว่าด้วยการส่งเสริมด้านการลงทุนในสาขาเศรษฐกิจดิจิทัล ระหว่างสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกกับกระทรวงพาณิชย์สาธารณรัฐประชาชนจีน
6. ร่างพิธีสาร ว่าด้วยหลักเกณฑ์การตรวจสอบ กักกันโรค และสุขอนามัยทางสัตวแพทย์ของผลิตภัณฑ์ประมงที่มาจากการเพาะเลี้ยงส่งออกมายังสาธารณรัฐประชาชนจีน ระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แห่งราชอาณาจักรไทยกับสำนักงานศุลกากรแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน
7. ร่างกรอบความตกลง ว่าด้วยความร่วมมือระบบเชื่อมโยงข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ ณ จุดเดียว สำหรับการค้าข้ามแดน ระหว่างกรมศุลกากรแห่งราชอาณาจักรไทยกับสำนักงานศุลกากรแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน
8. ร่างความตกลงระหว่างกรมศุลกากรแห่งราชอาณาจักรไทย กับศุลกากรแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ว่าด้วยความตกลงยอมรับร่วมกันสำหรับโครงการผู้ประกอบการระดับมาตรฐานเออีโอของกรมศุลกากร และโครงการ Enterprise Credit Management ของศุลกากรจีน
9. ร่างบันทึกความเข้าใจ ว่าด้วยความร่วมมือด้านการส่งเสริมการจัดตั้งห้องปฏิบัติการร่วมด้านปัญญาประดิษฐ์ ระหว่างกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม แห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน
10. ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมกับสำนักงานบริหารอวกาศแห่งชาติจีน เกี่ยวกับอุปกรณ์สำรวจสภาพอวกาศโดยรอบของดวงจันทร์ไทย – จีน ภายใต้พันธกิจอวกาศยานสำรวจดวงจันทร์ฉางเอ๋อ หมายเลข 7
11. ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมกับองค์การพลังงานปรมาณูแห่งชาติจีน ว่าด้วยความร่วมมือด้านการใช้ประโยชน์เทคโนโลยีนิวเคลียร์ในทางสันติ
12. ร่างบันทึกความเข้าใจ ว่าด้วยความร่วมมือด้านบริการไปรษณีย์ ระหว่างกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมกับการไปรษณีย์สาธารณรัฐประชาชนจีน
13. ร่างบันทึกความเข้าใจ ว่าด้วยการแลกเปลี่ยนข่าวและข้อมูลข่าวสาร ระหว่างกรมประชาสัมพันธ์กับสำนักข่าวซินหัว
และ 14. ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะ แห่งประเทศไทยกับ China Media Group
มองเผินๆ ความตกลงระหว่าง 2 ชาติ รวม 14 ฉบับ ก็คงไม่มีอะไรมาก…มันเป็นแค่ความร่วมมือทางด้านเศรษฐกิจ ทั้งเศรษฐกิจทั่วไปและเศรษฐกิจดิจิทัล รวมถึงความร่วมมือทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับ AI นิวเคลียร์ พลังงานสีเขียว ด้านอวกาศ และอื่นๆ
แต่เพราะวลี “จีน-ไทยใช่อื่นไกล…พี่น้องกัน” นี่แหละ…ที่ทำให้ ชาติตะวันตก โดยเฉพาะ สหรัฐอเมริกา อาจดูไม่สบายใจมากนัก…ต่อความสัมพันธ์ในระดับนี้
ต้องไม่ลืมว่า…ไทย คือ ดินแดนที่มีชาวจีนโพ้นทะเล อพยพย้ายฐิ่นฐานมาพำนักอาศัยมากที่สุดในโลก ด้วยประชากรแรกเริ่มและทายาทที่ขยายเผ่าพันธุ์ ณ ปัจจุบัน ที่มีรวมกันมากกว่า 10 ล้านคน
เศรษฐี…มหาเศรษฐี รวมถึง พ่อค้า นักธุรกิจ ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ แม้กระทั่ง นักการเมือง ในระดับ “แกนนำ” ล้วนมี เชื้อสายจีนผสมปนเปในความเป็นไทย
คนกลุ่มนี้ จัดว่า “ทรงอิทธิพล” และมีโอกาสจะชี้นำทิศทางการขับเคลื่อนประเทศ ผ่านนโยบายรัฐบาล ได้มากกว่าคนกลุ่มอื่น แม้กระทั่ง พวกที่มีเลือดไทยผสมเป็นส่วนใหญ่
ก็ไม่แปลกที่ คนจีนกลุ่มนี้…จะก้าวขึ้นมายืนอยู่ในระดับ “แถวหน้า” ของสังคม ด้วยเหตุผล…
หนึ่ง…พวกเขาขยัน ฉลาด และต่อยอดไปได้ไกลแบบไร้ขีดจำกัด
สอง…คนไทยไม่ขัดขวาง เปิดทางให้พวกเขาได้เติบโตในสังคมไทย
และ สาม…การสนับสนุนจากทางการจีนที่มีต่อคนจีนโพ้นทะเล ในยุคสมัยต่อเนื่องจากยุค “เสื่อผืนหมอนใบ”
รัฐบาลจีนไม่จำเป็นต้องประกาศครอบงำไทย ผ่านกลยุทธ์ทางการเมือง หรือทางด้านเศรษฐกิจ แม้กระทั่ง ด้านการทหาร เหมือนที่ทำและแอบทำกับอีกหลายๆ ประเทศ
นั่นเพราะ รัฐบาลจีนมีตัวเชื่อมที่ดี ผ่านคนจีนโพ้นทะเลในไทย ทั้งในรูปของ ธุรกิจ และ/หรือ องค์กร-สมาคมต่างๆ
ประเด็นเหล่านี้ คือ ความไม่สบายใจของชาติตะวันตก และกำลังจะกลายเป็นความไม่สบายของคนไทยส่วนใหญ่ที่ไม่มีเชื้อจีนหรือมีสายเลือดจีนน้อยกว่ากึ่งหนึ่งในตัว
โลกในยามสงครามครั้งใหญ่ แม้กระทั่ง สงครามเศรษฐกิจและการค้า ในอีกไม่กี่เพลาข้างหน้า…การยืนเป็นกลาง ไม่เลือกข้างหนึ่งข้างใด? อาจมิใช่เรื่องง่ายสำหรับประเทศเล็กๆ เช่น…ไทย
ฉะนั้น การขับเคลื่อนนโยบายความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ จึงเป็นเรื่องที่ น.ส.แพทองธาร และครม.ของเธอ อาจต้องคิดให้ลึกและหนักแน่นกว่าที่ผ่านมา
ทุกมันสมองที่คอยประกบและคอยเสนอแนะ ผ่านไปถึงคนเป็น “ผู้นำประเทศ” ย่อมต้องยืนอยู่บนหลักการและเหตุผลความเป็นจริงและความเป็นไปได้ บนพื้นฐานที่ประเทศไทย…จะต้องไม่เสียทั้งประโยชน์และโอกาสในหลายๆ มิติ
นาทีนี้…นับเป็นการ วัดกึ๋น! ของ น.ส.แพทองธาร ในฐานะ “ผู้นำประเทศ” แบบที่ยังมี พ่อและพี่เลี้ยง คอยประกบติด
ยังไง…ก็อย่าทำพลาดจนเสียแต้มต่อ ก็แล้วกัน!!!.