‘แก้ฝุ่นพิษ PM 2.5’ อย่าเปลี่ยน ‘วาระแห่งชาติ’ เป็น ‘ภาระแห่งชาติ’ ให้กับคนไทย!

ปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 สร้างความกระอักกระอ่วนใจกับทุกรัฐบาลที่ผ่านมา…หลายรัฐบาลพยายามจะแก้ไขปัญหานี้ แต่ดูเหมือนสิ่งที่ทำ มิต่างจากการ “ลูบหน้าปะจมูก” แก้ปัญหาได้ไม่สะเด็ดน้ำ! ติดขัดปัญหาโน่นนี่ สรุปภาพรวมคือ…ติดกลุ่มนายทุนที่สนับสนุนการเมือง กับกลุ่มคนที่เป็นฐานคะแนนเสียงในทางการเมือง

มีบางโพลล์ของ สื่อกระแสหลัก บางสำนัก สำรวจแนวทางแก้ไขปัญหา PM 2.5 เทียบฟอร์ม รัฐบาลที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ กับรัฐบาลสมมุติ…หากอยู่ภายใต้การดำเนินงานของ พรรคประชาชน

เกินร้อยละ 70 เทความเชื่อมั่นไปฝั่ง “ว่าที่…รัฐบาลพรรคประชาชน” ว่าจะสามารถจัดการปัญหานี้ได้อย่างแน่นอน

เป็นไปได้ที่ผลสำรวจ…ทำกับคนในโลกออนไลน์ ซึ่งแน่นอนว่า…แฟนคลับของพรรคประชาชน ย่อมมีมากกว่าพรรคเพื่อไทย อย่างเห็นได้ชัด!

คำตอบจึงเป็นอย่างที่เห็น…

นั่นโลกออนไลน์…กลับสู่โลกออฟไลน์หรือโลกแห่งความเป็นจริง มันก็ชัดเจนว่า…รัฐบาล ภายใต้การนำของ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ยังทำได้ไม่ดีนักกับการแก้ไขปัญหา PM 2.5 ที่ไม่เพียงทำลายสุขภาพของคนไทย แต่ยังทำลายสุขภาพของเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการท่องเที่ยวของไทย ที่แต่ละปีจะมีนักท่องเที่ยวเติบโตใกล้จุดสูงสุดเดิมที่ 40 ล้านคนเข้าไปทุกขณะ

จากปัญหาฝุ่นพิษที่แพร่กระจายอย่างหนักหน่วงในช่วงนี้ ผสมโรงกับปมนักท่องเที่ยวจีน ที่ถูกข่าว “ลักพาตัวดาราประกอบชาวจีน” ข้ามจากฝั่งไทย บังคับให้ทำงานกับ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ข้ามชาติ ในเมียนมา ย่อมกระทบการท่องเที่ยวของไทยอย่างไม่ต้องสงสัย

แนวทางการแก้ไขปัญหานี้ ตลอด 1-2 เดือนที่ผ่านมา ดูเหมือนจะเป็นไปในลักษณะ “ต่างคนต่างทำ” กระทรวงมหาดไทย ก็ไปทางนึง กระทรวงคมนาคม กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงเกษตร แม้กระทั่ง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวด รวมถึง “เมืองหลวง” อย่าง กรุงเทพมหานคร ก็ไปในทิศทางนึง

อยู่ภายใต้ร่วมเงา “รัฐบาลแพทองธาร” แต่การแก้ไขปัญหา PM 2.5 กลับเป็นไปในลักษณะต่างคนต่างไป ต่างคนต่างคิดและต่างทำ

แม้จะมีการจัดตั้ง “คณะกรรมการอำนวยการเพื่อการจัดการปัญหามลพิษทางอากาศ” เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2567 ขึ้น เพื่อพิจารณาการดำเนินมาตรการรับมือสถานการณ์ไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละออง ปี 2568 ให้ทันต่อการรับมือ จากนั้น คณะกรรมการอำนวยการฯชุดนี้ ก็ได้แต่งตั้ง “คณะทำงานศูนย์ปฏิบัติการเฝ้าระวังควบคุมไฟป่าและหมอกควัน ในพื้นที่ 14 กลุ่มป่า” เพื่อบูรณาการความร่วมมือ รวมถึง แต่งตั้ง “คณะทำงานศูนย์ปฏิบัติการ ป้องกัน และแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 กรุงเทพมหานคร” โดยติดตามการดำเนินการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาฝุ่น ตามมติ ครม. และข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี

แต่ปัญหานี้…ก็ยังคงคุกคามคนไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติ ชนิด “หนักข้อ” ขึ้นทุกวัน!

หันไปดู “ข้อสั่งการ” จากเมืองดาวอส สวิสเซอร์ ของ “นายกฯแพทองธาร” ที่บอกให้ทุกภาคส่วน บูรณาการแก้ไขปัญหา PM 2.5 ทำให้เป็น “วาระแห่งชาติ”

ก่อนหน้านี้….เมื่อเดือนธันวาคม 2567 ที่ผ่านมา ได้มีการเร่งกำหนดมาตรการป้องกันมลพิษทางอากาศ ทั้งส่วนของการเผาในภาคเกษตร ไอเสียจากยานพาหนะ และฝุ่นควันจากภาคอุตสาหกรรม ยุทธศาสตร์ฟ้าใส (Clear Sky Strategy) เพื่อแก้ไขปัญหาหมอกควันข้ามแดนร่วมกับเพื่อนบ้าน

ถัดไปในเดือนมกราคม 2568 เป็นช่วงที่ PM2.5 จัดอยู่ในสถานการณ์ที่รุนแรงมากขึ้น “นายกฯแพทองธาร” ได้สั่งการที่ประชุม ครม. และมอบหมายหน่วยงานต่าง ๆ ในการป้องกัน กวดขัน จับกุม อย่างเข้มงวด ตั้งเป้าหมาย ลดให้ได้มากกว่าปีที่ผ่านมา พร้อมกับเน้นย้ำให้ทุกหน่วย ช่วยกันตรวจสอบกฎหมายในความรับผิดชอบและเสนอ ครม. หรือใช้กฎหมายที่มีอยู่ในการแก้ปัญหาให้ยั่งยืน

ข้อสั่งการ” ของ “นายกฯแพทองธาร” ไม่ขลัง? หรือเพราะแต่ละหน่วยงานไม่นำพาและคิดทำงานร่วมกัน เพื่อแก้ไขปัญหาฝุ่นพิษ PM 2.5 อย่างจริง?

คำตอบมีอยู่ในใจของคนไทยเป็นส่วนใหญ่

แม้หลายหน่วยงานจะออกมาตรการ “เฉพาะหน้า” เพื่อลดและแก้ไขปัญหา PM 2.5 แต่ก็เป็นในลักษณะต่างคนต่างทำ ยังมองไม่เห็นภาพการบูรณาทำงานร่วมกันแต่อย่างใด

การรณรงค์ปิดโรงเรียนของกรุงมหานคร และ การขอความร่วมมือให้คนกรุงฯ หยุดขับรถ แล้วมาใช้บริการของรถไฟฟ้าและรถเมล์ในพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑล ตามแนวคิดของ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ภายใต้งบประมาณที่รัฐบาลต้องควักจ่าย 140 ล้านบาท กับระยะเวลา 7 วันตามแคมเปญนี้

มันก็เป็นได้แค่ “มาตรการขายผ้าเอาหน้ารอด” ไปวันๆ ไม่ได้ช่วยแก้ไขปัญหา PM 2.5 ได้อย่างยั่งยืนมากนัก

นักวิชาการที่ประกาศตนเป็นนักการเมือง อย่าง “ดร.เอ้” นายสุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้เสนอ แผนแก้ปัญหาฝุ่น PM2.5 อย่างเป็นรูปธรรม 6 มาตรการ ประกอบด้วย…

1. สร้างความตระหนักรู้ให้ประชาชน รับรู้ข้อมูลอันตรายของฝุ่น PM2.5 และเช็คค่าฝุ่นในพื้นที่ใกล้ตัวผ่านแอปพลิเคชัน และจุดตรวจวัดที่ควรมีอย่างน้อย 2,000 จุดทั่วกรุงเทพ

2.กำจัดฝุ่นที่ต้นกำเนิด เช่น ควบคุมรถควันดำ เครื่องจักรปล่อยมลพิษ และจัดการไซต์ก่อสร้างที่ไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนด

3.บังคับใช้กฎหมายอากาศสะอาด ที่กำหนดมาตรฐานมลพิษทางอากาศและมาตรการภาษีฝุ่น พร้อมสนับสนุนการลดมลพิษผ่านสิทธิประโยชน์ทางภาษี

4.ใช้เทคโนโลยีดาวเทียม เช่น ดาวเทียมธีออส 2 ในการติดตามและตรวจสอบการเผาป่าหรือการเผาไร่ได้แบบเรียลไทม์

5.กำหนดเขตมลพิษต่ำ (Low Emission Zone) ในกรุงเทพชั้นใน 16 เขต เพื่อจำกัดการปล่อยควันจากยานพาหนะเก่าและสนับสนุนการใช้พลังงานสะอาด

และ 6.ตั้งเป้าหมายลดฝุ่นอย่างชัดเจน กำหนดระยะเวลาและเป้าหมายเพื่อลดฝุ่น PM 2.5 อย่างจริงจัง

อาจดีไม่พอในสายตาและทัศนคติของ “รัฐบาลเพื่อไทย”

ถึงบรรทัดนี้ “ทีมข่าวยุทธศาสตร์” มีข้อเสนอให้ทุกฝ่าย โดยเฉพาะ รัฐบาล…ได้นำไปคิดกันต่อ แทนที่จะผลาญงบ 140 ล้านบาท สู้เอาเงินก้อนนี้ ไปทำฝนเทียมทั่วประเทศ ดีกว่าไหม?

ประเทศไทย เพิ่งผ่านฤดูฝน จนถึงช่วงปลายของฤดูหนาว ที่ปีนี้…หนาวสะใจ! เชื่อว่า…ปริมาณละอองน้ำในอากาศ ยังคงมีมากพอจะใช้เป็น “วัตถุดิบ” ในการทำฝนเทียม

ต่อให้ฝนเทียมจะตกไม่ตรงจุดที่วางไว้ แต่ก็ขอให้มีฝนตกลงมา ถือว่า…ใช้ได้ เพราะฝนที่ตกลงมา จะช่วยลดปริมาณฝุ่น PM 2.5 ได้อย่างชะงักนักแล

ต้องไม่ลืมว่า…ละอองฝุ่น PM 2.5 มันล่องลอยไปทั่ว หากถูกนำฝนเทใสทับ ก็จะตกลงพื้นดินและไหลรวมไปกับมวลน้ำ กลายเป็นดินโคลน แก้ปัญหาฝุ่นได้เป็นอย่างดี

หากไม่สนใจ แนวทางของ “ดร.เอ้” หรือข้อเสนอเรื่องการทำ “ฝนเทียม” รัฐบาลก็น่าจะมีมาตรการ/โครงการดีๆ อะไรออกมาให้ประชาชนได้คาดหวังกันบ้าง? ไม่ใช่ทำเรื่อง “เทงบ” ให้เอกชนรายใหญ่ อย่างที่เห็น…

ทำเรื่องแนวทางการแก้ไขปัญหาฝุ่นพิษ PM 2.5 ให้เป็น“วาระแห่งชาติ” ตามที่ “นายกฯแพทองธาร” คาดหวังไว้

แต่อย่าได้เปลี่ยน “วาระแห่งชาติ” กลายเป็น “ภาระแห่งชาติ” ของคนไทยกันเลย สาธุ!!!.

Login

Welcome! Login in to your account

Remember me Lost your password?

Lost Password