ยอดขอรับการส่งเสริมลงทุน ‘บีโอไอ’ พุ่งสุดรอบ 10 ปี : ฤาเป็นฝีมือ (ทักษิณ) ล้วนๆ!!??
ชั่วดี…ถี่ห่าง! “รัฐบาลเพื่อไทย” แม้จะ “เปลี่ยนหัว” (เปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรี) มาแล้วรอบนึง จาก…นายเศรษฐา ทวีสิน มาเป็น นางสาวแพทองธาร ชินวัตร
กระนั้น ก็ได้ชื่อว่า…ปี 2567 เป็นปีของ “รัฐบาลเพื่อไทย” เพราะอยู่มาเต็มปี นับแต่ 1 มกราคม – 14 สิงหาคม 2567 ในช่วงของ นายเศรษฐา แม้จะมีเว้นวรรค…รอจน นางสาวแพทองธาร เข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2567
ระหว่างทาง…ก็ได้ คนของพรรคเพื่อไทย เช่น นายภูมิธรรม เวชชยชัย นั่งรักษานายกฯชั่วคราว
พูดให้เข้าใจง่ายๆ ทั้งปี 2567 เป็นปีแห่ง “รัฐบาลเพื่อไทย” โดยแท้…
ที่ต้องเน้นย้ำในเรื่องนี้ นั่นเพราะมีข้อมูลการขอรับการส่งเสริมการลงทุน ที่นักลงทุนต่างชาติ รวมถึงนักลงทุนไทย ต่างแห่แหนยื่นขอส่งเสริมการลงทุนจาก สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ บีโอไอ ในปี 2567 ที่ผ่านมา มากสุดในรอบ 10 ปี
คิดเป็นตัวเลขที่ขอรับการส่งเสริมการลงทุนรวมกันมากถึง 1,138,508 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 35 จากโครงการทั้งหมดที่ยื่นเสนอมากว่า 3,100 โครงการ
สะท้อนความเชื่อมั่นที่มีเพิ่มมากขึ้น ทั้งจากรัฐบาลเพื่อไทย และนายกรัฐมนตรีที่ชื่อ นางสาวแพทองธาร
และคงปฏิเสธไม่ได้…เบื้องหลังที่ทำให้นักลงทุนเหล่านั้น เกิดความเชื่อมั่นต่อการขนเงินเข้ามาลงทุนในประเทศไทย เป็นเพราะ ทั้ง รัฐบาลเพื่อไทย และนายกฯแพทองธาร มี “แบ็กอัพ” ระดับ “เซียนเหยียบเมฆ” อย่าง นายทักษิณ ชินวัตร คอยเสนอแนะสิ่งดีๆ นั่นเอง
ลองสำรวจรายละเอียด ตามที่ “รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี” นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ เคยแถลงเอาไว้เมื่อวันที่ 17 มกราคม 2568 ที่ผ่านมา….
อ้างอิง รายงานข้อมูลการลงทุนประจำปี 2567 ของ บีโอไอ ที่ว่า…ปี 2567 ถือเป็นปีทองของการลงทุนอย่างแท้จริง และเป็นโอกาสสำคัญในการสร้างฐานอุตสาหกรรมใหม่ที่จะนำไปสู่การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไทยในระยะยาว โดยมีคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนเพิ่มขึ้นสูง ทั้งจำนวนโครงการและมูลค่าเงินลงทุน โดยมีจำนวน 3,137 โครงการ เพิ่มขึ้นร้อยละ 40 เมื่อเทียบกับปี 2566
นับว่า…เป็นยอดจำนวนโครงการที่สูงสุดนับตั้งแต่ก่อตั้งบีโอไอ และมีมูลค่าเงินลงทุน 1,138,508 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 35 สูงสุดในรอบ 10 ปี ตอกย้ำถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่เห็นว่าประเทศไทยมีความพร้อม ทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐาน พื้นที่รองรับอุตสาหกรรม ไฟฟ้าที่มีความเสถียรและมีศักยภาพด้านพลังงานสะอาด บุคลากรที่มีคุณภาพ Supply Chain ที่ครบวงจร ต้นทุนการประกอบธุรกิจที่เหมาะสม มาตรการสนับสนุนต่าง ๆ ของรัฐบาล สิทธิประโยชน์และการบริการต่าง ๆ ของบีโอไอ
สำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายที่มี มูลค่าเงินลงทุนสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่…
(1) อุตสาหกรรมดิจิทัล 243,308 ล้านบาท 150 โครงการ ส่วนใหญ่เป็น การลงทุนในกิจการ Data Center และ Cloud Service โดยบริษัทชั้นนำจากทั้งสหรัฐอเมริกา จีน ฮ่องกง ญี่ปุ่น อินเดีย ออสเตรเลีย และไทย เงินลงทุนรวมกว่า 240,000 ล้านบาท นอกจากนี้ จะเป็น กิจการพัฒนาซอฟต์แวร์ แพลตฟอร์มเพื่อให้บริการดิจิทัล และดิจิทัลคอนเทนต์
(2) อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า 231,710 ล้านบาท 407 โครงการ กิจการที่มี การลงทุนสูง เช่น การผลิตแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ (PCB) และวัตถุดิบสำหรับ PCB จำนวน 83 โครงการ เงินลงทุนรวม 86,426 ล้านบาท นอกจากนี้ ก็มี โครงการผลิตชิป (Wafer) การออกแบบทางอิเล็กทรอนิกส์ (IC Design) การประกอบและทดสอบเซมิคอนดักเตอร์และวงจรรวม การผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะและเครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะ
(3) อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน 102,366 ล้านบาท 309 โครงการ ประกอบด้วย โครงการลงทุนผลิตรถยนต์ EV และ ICE โดยค่ายญี่ปุ่น จีน และยุโรป การผลิตยางล้อรถยนต์ ยางล้ออากาศยาน ระบบอัจฉริยะในรถยนต์ และชิ้นส่วนยานยนต์ต่าง ๆ
(4) อุตสาหกรรมเกษตรและแปรรูปอาหาร 87,646 ล้านบาท 329 โครงการ ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนใน กิจการผลิตอาหาร เครื่องดื่มและสิ่งปรุงแต่งอาหาร กิจการผลิตอาหารสัตว์ กิจการผลิตน้ำมันหรือไขมันจากพืชหรือสัตว์ กิจการผลิตบรรจุภัณฑ์จากผลผลิตหรือเศษวัสดุทางการเกษตร กิจการขยายพันธุ์สัตว์และเลี้ยงสัตว์
และ (5) อุตสาหกรรมปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ 49,061 ล้านบาท 235 โครงการ ส่วนใหญ่เป็นการผลิตเคมีภัณฑ์ พอลิเมอร์ชนิดพิเศษ พลาสติกสำหรับอุตสาหกรรม และบรรจุภัณฑ์ชนิดหลายชั้น
นอกจากนี้ ยังมีกิจการอื่นที่มีการลงทุนสูงและมีความสำคัญต่อการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ เช่น กิจการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนหรือขยะ 114,484 ล้านบาท 515 โครงการ กิจการผลิตเครื่องจักรและอุปกรณ์ ระบบอัตโนมัติ และเครื่องจักรที่มีความแม่นยำสูง 39,162 ล้านบาท 174 โครงการ กิจการผลิตอุปกรณ์การแพทย์และบริการทางการแพทย์ 18,237 ล้านบาท 92 โครงการ
“โครงการที่ได้รับส่งเสริมในปี 2567 เกิดการจ้างงานบุคลากรไทยเพิ่มกว่า 2.1 แสนคน ใช้วัตถุดิบและชิ้นส่วนในประเทศกว่า 1 ล้านล้านบาทต่อปี สามารถเพิ่มมูลค่าส่งออกของประเทศอีกกว่า 2.6 ล้านล้านบาทต่อปี” นางสาวศศิกานต์ ระบุ
ถึงบรรทัดนี้ ปี 2567 จะเป็นเพราะ “ฟลุ๊ก!” หรือฝีมือ (นายทักษิณ) ล้วนๆ เชื่อว่า…ยังมีองค์ประกอบอื่นๆ ที่นักลงทุนเหล่านั้น นำมาเป็นเครื่องมือในการวิเคราะห์ประกอบการตัดสินใจ แต่หากในปี 2568 หากผลงานการขอรับการส่งเสริมการลงทุนผ่านบีโอไอ ยังเป็นเทรนด์นี้อยู่…
อันนี้…ปฏิเสธยาก! ว่า…มันไม่ใช่ ฝีมือ (นายทักษิณ) ล้วนๆ นั่นเอง!!!.