บุหรี่เถื่อนทะลัก 2 เท่าตัวในเมืองหลวง – ยสท.ชี้ภาษีอัตราเดียวสู้ไม่ได้ พร้อมปรับแผนหาเงินใหม่

“ผู้ว่าการ ยสท.” ชี้! โครงสร้างภาษีบุหรี่อัตราเดียว คุมบุหรี่เถื่อนไม่ได้ ย้ำ! โครงสร้างภาษีบุหรี่ใหม่ส่งผลกระทบแรงมาก ดันยอดหนีภาษีพุ่ง 2.3 หมื่นล้านบาท พร้อมปรับกลยุทธ์ใหม่ “ลดสัดส่วนรายได้ขายบุหรี่ เพิ่มส่งออกใบยาและให้เช่าที่ดินเชิงพาณิชย์ 2 พันไร่” ตั้งเป้ากำไรปี 2567 เพิ่มเท่าตัวเป็น 400 ล้านบาท เผย! แนวโน้มบุหรี่ปลอมและบุหรี่หนีภาษีทะลักเข้าไทยเพิ่มขึ้น เฉพาะภาคใต้พบคนสูบบุหรี่เถื่อนมากกว่า 70% ส่วนกรุงเทพฯ หนักไม่แพ้กัน แค่ 6 เดือน ทะลักแล้ว 2 เท่าตัว

นายภูมิจิตต์ พงษ์พันธุ์งาม ผู้ว่าการการยาสูบแห่งประเทศไทย (ยสท.) กล่าวว่า ขณะที่กรมสรรพสามิตกำลังพิจารณาปรับปรุงโครงสร้างการจัดเก็บภาษีบุหรี่ใหม่ โดยอาจใช้โครงสร้างภาษีอัตราเดียว จัดเก็บภาษีตามปริมาณ ขณะเดียวกัน ยสท.ก็อยู่ระหว่างศึกษาการจัดเก็บภาษีบุหรี่ของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก พบว่าการจัดเก็บภาษีบุหรี่ในอัตราที่สูงขึ้น มุ่งแก้ปัญหาผลกระทบที่เกิดจากการสูบบุหรี่ ลดปริมาณการบริโภค และเพิ่มรายได้ให้แก่ภาครัฐ แต่นโยบายภาษีไม่ควรคำนึงถึงรายได้เพียงอย่างเดียว แต่ควรพิจารณาถึงมิติทางด้านสุขภาพ ด้านเศรษฐกิจ และสังคมด้วย

“จากการศึกษาข้อมูลในประเทศฟิลิปปินส์ มาเลเซีย สิงคโปร์ และอินโดนีเซีย ที่ต่างก็ใช้โครงสร้างภาษีอัตราเดียว แต่ยังแก้ไขปัญหาบุหรี่ผิดกฎหมายไม่ได้ ขณะที่เวียดนามและเมียนมาร์ จัดให้สินค้ายาสูบเป็นสินค้าพิเศษและมีการผูกขาดโดยรัฐ หรือมีมาตรการทางภาษีที่ช่วยปกป้องอุตสาหกรรมยาสูบ ซึ่งถือเป็นส่วนสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศ ประเด็นเรื่องการจัดเก็บภาษีบุหรี่นั้น ยสท. มองว่าการใช้โครงสร้างภาษีอัตราเดียว (Single Tier) อาจมีความเหมาะสมและใช้ได้กับในหลาย ๆ ประเทศทั่วโลก แต่ไม่เหมาะสมกับประเทศที่มีปัญหาเรื่องบุหรี่ผิดกฎหมาย เพราะไม่สามารถควบคุมการแพร่ระบาดของบุหรี่ผิดกฎหมายได้อย่างเห็นผลเป็นรูปธรรมผู้ว่าการ ยสท. ระบุ พร้อมให้เหตุผลว่า…

บุหรี่ผิดกฎหมายไม่ได้เสียภาษีเข้ารัฐ จึงมีราคาถูกกว่า 2 – 3 เท่าตัว เมื่อบุหรี่แพงขึ้นจนเกินกำลังซื้อของประชาชน ยิ่งทำให้คนหันมาสูบบุหรี่เถื่อนเพิ่มขึ้น โดยขณะนี้ ประเทศไทยกำลังเผชิญกับปัญหาบุหรี่ผิดกฎหมายอย่างหนักหน่วง ผลพวงจากการปรับโครงสร้างภาษีที่ผ่านมา ส่งผลให้บุหรี่ต่างประเทศนำเข้า ใช้กลยุทธ์ปรับลดราคาขายปลีก ซึ่งสวนทางกับภาษี ผู้บริโภคจึงหันไปสูบยาเส้นและบุหรี่ต่างประเทศนำเข้ามากขึ้น ฉะนั้น หากมีการปรับโครงสร้างภาษีเป็นอัตราเดียว จะส่งผลกระทบอย่างมหาศาลต่อตลาดบุหรี่ถูกกฎหมาย และผู้ประกอบการ ตลอดจนรายได้การจัดเก็บภาษีของรัฐ และการลดผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนก็อาจทำได้ไม่สำเร็จ เพราะประชาชนหันไปบริโภคยาเส้นและบุหรี่ผิดกฎหมายมากขึ้น

นายภูมิจิตต์ ยอมรับว่า ผลกระทบจากการปรับอัตราภาษีสรรพสามิต ทำให้ปริมาณการสูบบุหรี่ถูกกฎหมายในประเทศหดตัวลดลงเป็นอย่างมาก โดยในปี 2566 พบว่ารายได้ภาษีหายไปถึง 25% หรือราว 23,000 ล้านบาท จากรายได้ทั้งหมดที่เคยมีราว 70,000 ล้านบาท ทั้งนี้ พบการลักลอบนำบุหรี่ผิดกฎหมาย ทั้งบุหรี่ปลอมเครื่องหมายการค้าของ ยสท. และบุหรี่หนีภาษี ซึ่งมีราคาถูกกว่าบุหรี่ในประเทศหลายเท่าตัวเข้ามาจำหน่ายในประเทศเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคใต้ พบปริมาณการสูบบุหรี่เถื่อนมากกว่า 70%

และจากข้อมูลการแพร่ระบาดของบุหรี่ผิดกฎหมายในปี 2566 พบว่า แนวโน้มบุหรี่หนีภาษีมีสัดส่วนสูงถึง 22.3% เพิ่มขึ้นจากปี 2565 ที่มีเพียง 15.5% นอกจากนี้ ยังพบว่าปัจจุบันมีบุหรี่ที่มิได้เสียภาษีแพร่ระบาดเข้ามาในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑลมากขึ้น และเติบโตอย่างรวดเร็วเกือบ 2 เท่าตัว ภายในระยะเวลา 6 เดือน นับตั้งแต่มีการปรับโครงสร้างภาษีบุหรี่ ปีงบประมาณ 2561 จนถึงปีงบประมาณ 2566 ผลการปราบปรามพบคดีบุหรี่ผิดกฎหมายรวมทั้งสิ้น 50,963 คดี รวมของกลางทั้งสิ้น 33,490,246 ซอง

“ยสท.มีความเห็นว่าการปรับอัตราภาษีสรรพสามิตบุหรี่ของประเทศไทย ควรพิจารณาถึงปัจจัยหลัก ได้แก่ ลดผลกระทบต่อสุขภาพประชาชน ลดผลกระทบที่เกิดกับเกษตรกรชาวไร่ยาสูบในประเทศ สามารถแก้ปัญหาบุหรี่ผิดกฎหมายได้เห็นผลเป็นรูปธรรม และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของไทย ซึ่งรัฐเป็นผู้ได้รับประโยชน์จากภาคส่วนนี้โดยตรง” ผู้ว่าการ ยสท. กล่าวและว่า…

การปรับโครงสร้างอัตราภาษีสรรพสามิตบุหรี่ในช่วงที่ผ่านมาว่า ส่งผลกระทบกับ ยสท. ทั้งโดยตรงและในภาพรวมอีกหลายด้าน โดยเฉพาะเกษตรกรชาวไร่ยาสูบที่ได้รับผลกระทบจากปริมาณการจำหน่ายบุหรี่ของ ยสท. ที่ลดลง  ทำให้ ยสท. จำเป็นต้องลดต้นทุนการผลิตลงด้วยการตัดโควตารับซื้อใบยาสูบจากเกษตรกรลดลง 50% ติดต่อกันเป็นเวลา 3 ปี ส่งผลกระทบต่อรายได้ของชาวไร่และผู้เกี่ยวข้องกว่า 500,000 ราย ทำให้รัฐและ ยสท. ต้องเพิ่มเงินสนับสนุนให้เกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการลดโควตาการปลูกใบยาสูบ ประมาณกว่า 1,300 ล้านบาท  โดยที่ผ่านมา ยสท. ให้การสนับสนุนชาวไร่ยาสูบตั้งแต่ขั้นตอนการเพาะปลูก จนถึงกระบวนการรับซื้อใบยา นอกจากนี้ ยังจัดหาใบยาสูบจากผู้บ่มอิสระอีกจำนวนหนึ่งด้วย

ปัจจุบัน ยสท. มีโควตาการรับซื้อใบยาเวอร์ยิเนีย 4.73 ล้านกิโลกรัม ใบยาเบอร์เลย์  7.1 ล้านกิโลกรัม และใบยาเตอร์กิซ 2 ล้านกิโลกรัม แต่จากสถานการณ์ใบยาโลก ในปี 2566 ใบยาเบอร์เลย์ในตลาดโลกขาดแคลน ส่วนใบยาเตอร์กิซมีราคาที่ต่ำกว่าราคาตลาดโลก ไทยจึงสามารถแข่งขันได้ เพราะเป็นที่ต้องการของตลาด ในขณะที่ใบยาเวอร์ยิเนียนั้นมีราคาสูงกว่าราคาตลาดโลก จึงยากในการที่จะระบายใบยาออกตลาดโลก ประกอบกับทาง ยสท. มีใบยาเวอร์ยิเนียคงคลังมากกว่า 2.9 ล้านกิโลกรัม ซึ่ง ยสท. ยินดีแบกรับและช่วยเหลือชาวไร่และผู้บ่มใบยาเวอร์ยิเนียอย่างเต็มที่

ที่ผ่านมา ยสท. มีรายได้เพิ่มขึ้นจากการส่งออกใบยาเบอร์เลย์และใบยาเตอร์กิซเป็นหลัก จึงมีนโยบายรับซื้อใบยาเบอร์เลย์และใบยาเตอร์กิซจากชาวไร่เพิ่มขึ้นโดยไม่มีขีดจำกัด พร้อมทั้งส่งเสริมการเพาะปลูก ขยายพื้นที่เพาะปลูกและเพิ่มจุดรับซื้อใบยา แก้ปัญหาการขาดแคลนน้ำโดยการสนับสนุนบ่อบาดาลน้ำตื้นและระบบน้ำหยดเพื่อการเกษตร สำหรับชาวไร่ยาสูบเวอร์ยิเนีย ยสท. ได้ให้ความช่วยเหลือโดยการลดต้นทุนการผลิต ส่งเสริมการใช้ปุ๋ยชีวภาพแทนการใช้สารเคมี และพร้อมส่งเสริมให้ชาวไร่ยาสูบเวอร์ยิเนียปรับเปลี่ยนมาปลูกใบยาเบอร์เลย์ซึ่งเป็นที่ต้องการของตลาดโลก โดนในอนาคต ยสท. ยังมีนโยบายที่จะปรับขึ้นราคารับซื้อใบยาสูบเพื่อเพิ่มรายได้ให้กับชาวไร่ยาสูบอีกด้วย

ผู้ว่าการ ยสท. กล่าวเพิ่มเติมว่า ในปี 2567 ยสท.จะปรับโครงสร้างธุรกิจเพื่อหารายได้ใหม่ โดยลดสัดส่วนการขายบุหรี่ลงจากเดิม 99% ให้เหลือ 97% แล้วหันไปเพิ่มการส่งออกใบยา (พันธุ์เบอร์เลย์และเตอร์กิซ ขณะที่ พันธุ์เวอร์ยิเนีย ก็ขายพ่วงในราคาต่ำกว่าต้นทุน ) ซึ่งกำลังเป็นที่ต้องการของตลาดโลก รวมถึงนำอสังหาริมทรัพย์ที่ ยสท.มีที่ดินราว 150 แปลงใน 15 จังหวัด รวมพื้นที่ทั้งสิ้นกว่า 6,003 ไร่ ทั่วประเทศ โดยเฉพาะในเขตกรุงเทพฯ อยุธยา เชียงใหม่ เชียงราย ฯลฯ เพื่อนำที่ดินเหลือการใช้ประโยชน์ไปจัดหารายได้จากการเช่า ที่คาดว่าจะมีที่ดินที่อยู่ในความสนใจของเอกชนไม่น้อยกว่า 2,000 ไร่ โดย ยสท.ตั้งเป้าสร้างผลกำไรในปี 2567 ไว้ 400 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีเพียง 200 ล้านบาทเท่านั้น

อนึ่ง ยสท.เป็นหนึ่งในคณะทำงานที่มีภารกิจปราบปรามบุหรี่ผิดกฎหมายทั่วประเทศ ร่วมกับกรมสรรพสามิต กรมศุลกากร ตำรวจ ทหาร และฝ่ายปกครอง ดังนั้น จึงขอความร่วมมือทุกภาคส่วนช่วยกันเป็นหูเป็นตาในเรื่องนี้ หากผู้บริโภคและประชาชนทั่วไป พบเห็นเบาะแสบุหรี่เถื่อน บุหรี่ผิดกฎหมาย สามารถแจ้งได้ที่สายด่วนบุหรี่ผิดกฎหมาย การยาสูบแห่งประเทศไทย โทร. 02-229-1434 หรือ 1435 หรือเมนูแจ้งเบาะแสผ่านเว็บไซต์การยาสูบแห่งประเทศไทย.

Login

Welcome! Login in to your account

Remember me Lost your password?

Lost Password