‘5 แพลตฟอร์ม’ ร่วมศุลกากรสร้างความเป็นธรรมขายสินค้าออนไลน์ ลั่น! บุหรี่ไฟฟ้าหายแน่

ศุลกากรจับมือ “5 แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซยักษ์” ยกระดับคุมสินค้านำเข้า–สกัดของผิดกฎหมาย ร่วมสร้างความเป็นธรรมให้เอสเอ็มอีไทย เริ่มเก็บอากรสินค้านำเข้าตั้งแต่บาทแรก 1 ม.ค.นี้ อธิบดีฯพันธ์ทอง คาดรายได้ส่วนนี้เพิ่ม 3 พันล้านบาท ชดเชยรายได้รวมทรุดตัวแรง แนะซื้อจากร้านค้าในไทย เผย! บุหรี่ไฟฟ้าขายออนไลน์จะหายไปจากระบบอย่างมาก

นายพันธ์ทอง ลอยกุลนันท์ อธิบดีกรมศุลกากร กล่าวภายหลังพิธี ร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจความร่วมมือในการกำกับดูแลและปราบปรามการนำเข้าสินค้าผิดกฎหมายและสินค้าที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐานที่กฎหมายกำหนด กับผู้แทนจากแพลตฟอร์มพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่ทั้ง Lazada, Shopee, SHEIN, TikTok Shop และ TEMU เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2568 ณ กรมศุลกากร
โดยย้ำว่า…ความร่วมมือครั้งนี้เป็นการขานรับนโยบายที่ ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ได้มอบไว้ตั้งแต่ต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา โดยมุ่งสร้างระบบนิเวศทางการค้าใหม่ให้ผู้ประกอบการ SMEs ไทยสามารถแข่งขันได้อย่างเป็นธรรม เสริมสภาพคล่อง เพิ่มประสิทธิภาพ และลดความได้เปรียบที่ไม่เท่าเทียมจากสินค้านำเข้าที่หลบเลี่ยงกฎหมาย โดยเฉพาะการยกเลิกการกำหนดมูลค่าขั้นต่ำของสินค้านำเข้าที่ไม่ต้องเสียอากร (De Minimis Value)

ดังนั้น กรมฯจึงผลักดันความร่วมมือกับแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ เพื่อยกระดับการกำกับดูแลตั้งแต่ต้นทาง ผ่านการเชื่อมโยงและใช้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการจำหน่ายสินค้าออนไลน์ อาทิ ชนิดสินค้า ปริมาณ และมูลค่า เพื่อนำไปใช้ในการตรวจสอบพิธีการศุลกากรและประเมินภาษีอากรอย่างถูกต้อง ลดช่องว่างจากการแจ้งข้อมูลไม่ครบถ้วนหรือไม่ถูกต้อง ซึ่งเป็นปัญหาที่บั่นทอนการแข่งขันของผู้ประกอบการในประเทศและกระทบต่อผู้ประกอบการสุจริตมาอย่างต่อเนื่อง

โดยความร่วมมือดังกล่าว เป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาลที่ต้องการเห็นผลลัพธ์เชิงรูปธรรมอย่างรวดเร็ว โดยกรมฯวางกรอบการดำเนินงานให้เกิดสมดุลใน 3 มิติสำคัญ ได้แก่ การอำนวยความสะดวกทางการค้า การปกป้องสังคม และการจัดเก็บรายได้ของรัฐอย่างโปร่งใสและเป็นธรรม ควบคู่กับ การพัฒนาระบบตรวจสอบสินค้า e-Commerce และการทำงานร่วมกับภาคเอกชนอย่างใกล้ชิด

โดยสาระสำคัญของบันทึกความเข้าใจครั้งนี้ มุ่งเน้นการสร้างการแข่งขันทางการค้าที่เป็นธรรม ผ่านการใช้ข้อมูลเชิงระบบเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการตรวจสอบและกำกับดูแล ลดการหลีกเลี่ยงภาษี และสร้างสนามแข่งขันที่เท่าเทียมให้ผู้ประกอบการไทย ขณะเดียวกัน ยังให้ความสำคัญกับการปกป้องสังคม โดยกำหนดกลไกแจ้งเตือน ควบคุม และสกัดกั้นการจำหน่ายสินค้าผิดกฎหมายหรือไม่ได้มาตรฐานบนแพลตฟอร์มออนไลน์ พร้อมสร้างความตระหนักให้ผู้ขายปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด
ในด้านการจัดเก็บรายได้ของรัฐ การเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างศุลกากรและแพลตฟอร์ม จะช่วยเพิ่มความแม่นยำในการจัดเก็บภาษีอากรและภาษีมูลค่าเพิ่ม ให้สอดรับกับการเติบโตอย่างรวดเร็วของการนำเข้าสินค้าผ่านช่องทางพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งกำลังกลายเป็นโครงสร้างหลักของการค้าระหว่างประเทศในปัจจุบัน

“หนึ่งในมาตรการสำคัญที่รัฐบาลและกระทรวงการคลังกำลังผลักดัน คือ การปรับแนวทางจัดเก็บอากรสำหรับสินค้านำเข้ามูลค่าต่ำ โดยกำหนดให้สินค้านำเข้าที่มีมูลค่าตั้งแต่ 1 บาทขึ้นไป ต้องเสียอากร มีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2569 เป็นต้นไป แทนการยกเว้นอากรสำหรับสินค้ามูลค่าไม่เกิน 1,500 บาท มาตรการนี้ไม่ได้มุ่งเพิ่มรายได้เป็นหลัก แต่เป็นการคืนความเป็นธรรมให้กับผู้ประกอบการไทยที่ปฏิบัติตามกฎหมายอย่างถูกต้อง” อธิบดีกรมศุลกากร กล่าว และเพิ่มเติมว่า…
การยกระดับการใช้ข้อมูลและความร่วมมือกับแพลตฟอร์มเอกชน จะเป็นกลไกสำคัญในการทำให้การจัดเก็บภาษีมีความโปร่งใส เป็นธรรม และมีประสิทธิภาพมากขึ้น ควบคู่กับการสกัดกั้นสินค้าผิดกฎหมายและสินค้าไม่ได้มาตรฐาน เพื่อคุ้มครองผู้บริโภคและความปลอดภัยของสังคม โดยกรมศุลกากรพร้อมเดินหน้าขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาลอย่างต่อเนื่อง ผ่านการบูรณาการการทำงานกับทุกภาคส่วน

“สินค้าที่มีราคาต่ำกว่า 1,500 บาท จะถูกจัดเก็บภาษีทั้งอาการและมูลค่าเพิ่ม ซึ่งคาดว่ากรมฯจะมีรายได้ในส่วนนี้เพิ่มขึ้นประมาณ 3,000 ล้านบาท ชดเชยกับรายได้หลักที่ลดอย่างมาก โดยภาษีรถยนต์และสินค้าฟุ่มเฟือย ซึ่งพบว่าช่วง 2 เดือนแรกของปีงบประมาณนี้ หดตัวเป็นจำนวนมาก” นายพันธ์ทอง ระบุ
ทั้งนี้ คาดว่าจำนวนสินค้านำเข้าที่เคยมี 100 ล้านกล่องในปีก่อน จะเพิ่มเป็น 250 ล้านกล่องในปีนี้ และเพิ่มยอดขายรวมจากปีละ 3 หมื่นล้านบาทเป็น 4.5 หมื่นล้านบาท
อธิบดีกรมศุลกากร กล่าวอีกว่า ส่วนตัวหากต้องซื้อสินค้าจากแพลตฟอร์มออนไลน์ จะเลือกซื้อจากร้านค้าในประเทศ เพื่อตัดปัญหาสินค้าไม่ตรงปก และช่วยเหลือผู้ประกอบการในประเทศ รวมถึงส่งเสริมให้ภาครัฐมีรายได้ภาษีมากขึ้น พร้อมกันนี้ ขอเชิญชวนให้คนไทย เน้นซื้อสินค้าจากร้านค้าออนไลน์ที่จดทะเบียนจัดตั้งอยู่ในประเทศไทย

กรมฯรู้สึกยินดีอย่างยิ่งที่ได้ลงนามร่วมกับผู้ประกอบการแพลตฟอร์มในครั้งนี้ โดยเฉพาะความร่วมมือที่จะช่วยลดปัญหาการนำเข้าบุหรี่ไฟฟ้า โดยจากนี้ไป ร้านค้าในต่างประเทศและเจ้าของแพลตฟอร์มจะช่วยดูแลไม่ให้มีการนำเข้าบุหรี่ไฟฟ้ามาจำหน่ายในประเทศ เชื่อว่าปัญหาบุหรี่ไฟฟ้าตะลดลงอย่างมาก อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าจะมีร้านค้าในต่างประเทศบางราย ทำการเปลี่ยนชื่อสินค้าเพื่อหลีกเลี่ยงความเป็นบุหรี่ไฟฟ้า ซึ่งกรมฯจะตรวจสอบเข้มข้นต่อไป
ด้าน ดร.ธมกร ศุภธนรังสี รองประธานฝ่ายรัฐสัมพันธ์ บริษัท ลาซาด้า จำกัด กล่าวในฐานะ ตัวแทนผู้ประกอบแพลตฟอร์ม ว่า การลงนามครั้งนี้ จะไม่กระทบยอดขายของแพลตฟอร์ม เพราะได้แจ้งร้านค้าและเจ้าของสินค้าในต่างประเทศทราบ เพื่อให้ปรับตัวกันไปแล้ว ส่วนราคาสินค้าก็คงไม่ได้ปรับเพิ่มอะไรมากนัก เพราะภาคเอกชนก็อยากขานรับนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการลดค่าครองชีพให้กับประชาชนอยู่แล้ว
“แพลตฟอร์มออนไลน์ยินดีที่ได้ร่วมมือกับภาครัฐ โดยเฉพาะการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกัน ทำให้พวกเราได้รับรู้ในหลายเรื่องที่ไม่เคยรู้มาก่อน ซึ่งจะทำให้การดำเนินธุรกิจสอดรับกับนโยบายของภาครัฐมากยิ่งขึ้น” ตัวแทนผู้ประกอบแพลตฟอร์ม กล่าวสรุป.






