คปภ.ร่วมแถลงจับ ‘มายคาร์ฯ’ หลอกทำประกันภัยรถมือสอง เตือน! อย่าซื้อหรือทำสัญญาบริษัทไร้ใบอนุญาต

สำนักงาน คปภ. ร่วม บก.ปอศ. แถลงจับกุม “บริษัท มายคาร์ฯ” รับประกันโดยไม่มีใบอนุญาตฯ ปลอมข้อมูลนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ทำผู้เสียหายเกือบ 500 ราย เตือน! ระวังการซื้อหรือทำสัญญาประกันภัย ต้องเป็นบริษัท/นิติบุคคลที่มีใบอนุญาตฯ ย้ำ! การทำประกันภัยทุกประเภทต้องเป็นกรมธรรม์ที่ออกโดยบริษัทประกันภัยที่ได้รับอนุญาตจากสำนักงาน คปภ.

สืบเนื่องจาก สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) ได้รับเรื่องร้องเรียนจาก ผู้เสียหาย ที่ซื้อรถยนต์จากเต็นท์รถมือสองย่านบางแคและนนทบุรี โดยแจ้งว่า มีการเสนอขายประกันภัยรถยนต์ จากบริษัท มายคาร์ เซอร์วิส พลัส 1989 จำกัด (บริษัท มายคาร์ฯ) สำนักงาน คปภ. จึงได้ตรวจสอบใบอนุญาตประกอบธุรกิจประกันภัย แต่ไม่พบว่าบริษัท มายคาร์ฯ ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบธุรกิจประกันภัยแต่อย่างใด
กลุ่มงานคดีจึงได้มีหนังสือให้บริษัท มายคาร์ฯ มาให้ข้อเท็จจริงสำหรับกรณีที่กระทำการรับประกันภัยโดยไม่ได้รับใบอนุญาต ซึ่งบริษัท มายคาร์ฯ ได้ให้ข้อเท็จจริงว่า ได้รับประกันคุณภาพของรถยนต์มือสองที่ลูกค้าซื้อจากเต็นท์ขายรถยนต์มือสอง ซึ่งเป็นเต้นท์คู่สัญญากับบริษัท มายคาร์ฯ กว่า 20 แห่ง และมีอู่เครือข่ายกว่า 200 แห่ง โดยให้ความคุ้มครองความเสียหายจากการเสื่อมคุณภาพของอะไหล่หรือเครื่องยนต์ตามรายการที่ระบุไว้ในเอกสารแนบท้ายตารางประกันสุขภาพรถยนต์ สูงสุด 300,000 บาท
ซึ่ง บริษัท มายคาร์ฯ จะเรียกเก็บเงินค่าเบี้ยประกันคุณภาพสินค้าจากเต็นท์รถยนต์เป็นรายเดือน ตามตารางราคาในเอกสารประกอบการเสนอขาย (โบรชัวร์) โดย ค่าเบี้ยประกันมีราคาตั้งแต่ 9,000 – 100,000 บาท บางรายจ่ายถึง 28,000 บาท และ เรียกเก็บจากลูกค้าที่มาต่ออายุสัญญาประกันคุณภาพสินค้า หลังจากนั้น บริษัท มายคาร์ฯ จะทำการออกเอกสารหน้าตารางประกันให้แก่ลูกค้า “ตารางประกันสุขภาพรถยนต์/ตารางรับประกันคุณภาพรถยนต มือสอง”
ปัจจุบัน บริษัท มายคาร์ฯ ได้มีการทำสัญญารับประกันคุณภาพรถยนต์ไปแล้วประมาณ 400 – 500 คัน ซึ่ง กลุ่มลูกค้าของบริษัท มายคาร์ฯ ได้แก่ กลุ่มลูกค้าที่ซื้อรถยนต์มือสองจากเต็นท์รถยนต์มือสองคู่สัญญา และ กลุ่มลูกค้าเก่าที่ขอต่ออายุสัญญา ภายหลังจากที่สัญญารับประกันคุณภาพสินค้าหมดลง โดย บริษัท มายคาร์ฯ อ้างว่า การรับประกันคุณภาพรถยนต์มือสองดังกล่าวมีลักษณะเช่นเดียวกันกับการรับประกันคุณภาพสินค้าภายหลังการขาย (Warranty)
สำนักงาน คปภ. พิจารณาแล้วเห็นว่า การกระทำดังกล่าวมีลักษณะเป็นการทำสัญญาระหว่างบริษัท มายคาร์ฯ กับผู้ซื้อรถยนต์มือสอง โดยบริษัท มายคาร์ฯ ตกลงจะชดใช้ค่าสินไหมทดแทนหรือใช้เงินจำนวนหนึ่งให้ในกรณีวินาศภัยหากมีขึ้น หรือเหตุอย่างอื่นในอนาคต ดังได้ระบุไว้ในสัญญา และ เต็นท์รถมือสองหรือผู้ซื้อรถยนต์ แล้วแต่กรณี เป็นผู้ส่งเงินจำนวนหนึ่งหรือที่เรียกว่า เบี้ยประกันภัย ให้แก่บริษัท มายคาร์ฯ การกระทำดังกล่าว จึงมีลักษณะเป็นการรับประกันภัย ตามมาตรา 861 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
ซึ่ง บริษัท มายคาร์ฯ มีฐานะเสมือนเป็น “ผู้รับประกันภัย” ส่วน เต็นท์ขายรถยนต์มือสองและผู้ซื้อรถยนต์ เสมือนเป็น “ผู้เอาประกันภัย” หรือ “ผู้รับประโยชน์” ตามความในมาตรา 862 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ แล้วแต่กรณี เมื่อ บริษัท มายคาร์ฯ ไม่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบธุรกิจประกันภัย ตามกฎหมายว่าด้วยการประกันภัย การกระทำของบริษัท มายคาร์ฯ จึงเป็นการรับประกันภัยโดยไม่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจประกันภัย อันเป็นความผิดตามมาตรา 17 แห่งพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535 มีบทกำหนดโทษตามมาตรา 86 แห่งพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535 ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 2 ปีถึง 5 ปี หรือปรับตั้งแต่ 200,000 บาท ถึง 500,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และปรับอีกไม่เกินวันละ 20,000 บาทตลอดเวลาที่ยังฝ่าฝืนอยู่
สำนักงาน คปภ. จึงได้ดำเนินการแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวน กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (ปอศ.) เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2568
ภายหลังจากการแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษดังกล่าว เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2568 เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.4 บก.ปอศ. ได้เข้าตรวจค้นสถานที่เป้าหมาย 2 จุด ได้แก่ เขตหนองแขม กรุงเทพมหานคร และอำเภอกระทุ่มแบน จังหวัดสมุทรสาคร พร้อมตรวจสอบเต็นท์จำหน่ายรถยนต์มือสองอีก 2 แห่ง ในย่านบางแคและนนทบุรี ผลการตรวจค้นพบว่าบริษัทมีลักษณะเป็นทาวน์โฮม ไม่มีการประกอบธุรกิจจริงและได้ตรวจยึดเอกสารจำนวนมาก อาทิ ใบโฆษณา ใบตรวจสภาพรถยนต์ สมุดคู่มือ และตารางกรมธรรม์ที่บริษัทจัดทำขึ้นเอง โดยไม่เคยได้รับอนุญาตจากสำนักงาน คปภ.
จากการตรวจสอบข้อมูลทางการเงิน ยังพบการหมุนเวียนของเงินกว่า 30 ล้านบาท จากผู้เอาประกันจำนวน 259 ราย และเต็นท์รถยนต์ คู่สัญญา 52 ราย ซึ่งเงินถูกโอนเข้าบัญชีส่วนตัวของกรรมการทั้งสาม เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ส่วนตัว โดยไม่มีการกันเงินสำรองค่าสินไหมหรือจัดตั้งกองทุนความเสี่ยงตามหลักเกณฑ์ธุรกิจประกันภัย ทำให้ผู้เสียหายเกือบ 500 ราย ได้รับความเสียหาย
พนักงานสอบสวน กก.4 บก.ปอศ. จึงได้รวบรวมพยานหลักฐานและยื่นคำร้อง ต่อศาล เพื่อขอหมายจับผู้กระทำความผิดทั้งสาม ในความผิดตามพระราชบัญญัติ ประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535 และ พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2560
ต่อมาเมื่อวันที่ 4 กันยายน 2568 สำนักงาน คปภ. โดยนายอดิศร พิพัฒน์วรพงศ์ รองเลขาธิการ ด้านกฎหมายและตรวจสอบ และนายจอม จีระแพทย์ ผู้ช่วยเลขาธิการ สายกฎหมายและคดี พร้อมด้วยผู้แทนสายกฎหมายและคดี ได้เดินทางไปยัง กองบังคับการปราบปราม เพื่อร่วมแถลงผลการจับกุมผู้กระทำความผิด ฐานความผิด “ร่วมกันเป็นผู้รับประกันภัยโดยไม่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจประกันภัย นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือน หรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน”
ทั้งนี้ สำนักงาน คปภ. ขอเตือนประชาชนให้ระมัดระวังการซื้อประกันหรือการทำสัญญาประกันภัยทุกประเภทกับบริษัทหรือนิติบุคคลที่ไม่มีใบอนุญาตประกอบธุรกิจประกันภัย พร้อมย้ำว่า การทำประกันภัยทุกประเภทต้องเป็นกรมธรรม์ที่ออกโดย บริษัทประกันภัยที่ได้รับอนุญาตจากสำนักงาน คปภ. เท่านั้น โดยสามารถตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้นของบริษัท หรือตัวแทน – นายหน้าประกันภัย และเลขกรมธรรม์ได้ที่สำนักงาน คปภ. หรือ Line Official Account @OICConnect หรือสอบถามผ่าน สายด่วน คปภ. 1186.
You may also like
