เปิดมุมมองวิชาการปมเหตุปะทะชายแดนเขมร ชี้! ‘ภัยสงคราม – กลุ่มภัยที่เกี่ยวข้อง’ ควรแยกจ่ายสินไหมหรือไม่?

ภัยจาก “สงคราม (War)” และ กลุ่มภัยที่เกี่ยวข้อง ต้องพิจารณาแยกกันหรือไม่? การจ่ายค่าสินไหมทดแทนกรุณา หรือเงินช่วยเหลือในลักษณะมนุษยธรรม “Ex-gratia payment” เป็นสิ่งที่ทำได้หรือฝ่าฝืนกฎหมาย มุมมองทางวิชาการที่น่าสนใจจากนักกฎหมายประกันภัยและนักวิชาการต่างชาติต่อกรณีสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา

นายอดิศร  พิพัฒน์วรพงศ์ รองเลขาธิการ ด้านกฎหมายและตรวจสอบ มีความเห็นในกรณี ภัยจาก “สงคราม (War)” และ กลุ่มภัยที่เกี่ยวข้องว่า สำหรับท่านที่คุ้นเคยกับเงื่อนไขข้อยกเว้นภัยจาก “สงคราม (War)” และกลุ่มภัยที่เกี่ยวข้อง จะพบว่า ในกรมธรรม์ประกันภัยประเภทต่างๆ  มักมีข้อยกเว้นภัย ในลักษณะนี้อยู่ แต่วิธีการเขียนและการใช้ถ้อยคำมีความหมายแตกต่างกันไป และมักมีการระบุภัยหลายๆ ประเภท ทั้งภัยที่มีความคล้ายคลึงกันเป็นอย่างมาก และภัยที่มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน รวมกันไว้ในข้อยกเว้นข้อเดียวกัน เช่น ยกเว้นภัยจาก “สงคราม (War)” “การกระทำของศัตรูต่างชาติ” “การกระทำอันเป็นปฏิปักษ์” “การรุกราน” “การกบฏ” “การแข็งข้อ” “จลาจล” “การก่อการร้าย” “สงครามกลางเมือง” ฯลฯ ซึ่งภัยต่าง ๆ ที่กล่าวมามักจะถูกเขียนรวมอยู่ในข้อยกเว้นเดียวกัน แต่เมื่อจะมีการหยิบยกมาใช้ปฏิเสธความคุ้มครอง จะต้องระบุโดยชัดแจ้งว่ากรณีที่เกิดขึ้นไม่ได้รับความคุ้มครองเนื่องจากภัยตัวใด ไม่ใช่การกล่าวอ้างข้อยกเว้นทั้งข้อโดยรวมๆ

1. ความเห็นของสำนักงาน คปภ. ที่มีการสื่อสารออกไปว่า สถานการณ์ปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ในขณะนี้ยังไม่เข้าข่ายคำว่า “สงคราม (War)” เนื่องจากมีคำถามตรงเข้ามาเป็นจำนวนมากว่า กรณีดังกล่าวถือเป็น “สงคราม (War)” แล้วหรือไม่

ทั้งนี้ เนื่องจากยังไม่มีความชัดเจนว่ากรณีดังกล่าว เป็นที่ยอมรับในทางระหว่างประเทศว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นมีองค์ประกอบครบถ้วนและรุนแรงจนถึงขนาดเป็น “สงคราม (War)”

แม้แนวคิดเรื่อง “สงคราม (War)” ในอนุสัญญาเจนีวา ปี 1949 จะต้องมีการรับรองหรือการสร้างสภาวะสงคราม โดยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งผ่านการออกประกาศสงครามเท่านั้น แต่ก็เป็นที่ยอมรับกันในทางระหว่างประเทศเช่นเดียวกันว่ามีสงครามแบบที่ไม่มีการประกาศด้วย

อย่างไรก็ตาม กรณีสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา จนถึงเวลานี้ ยังไม่มีประเทศ องค์กรระหว่างประเทศ หรือสื่อหลักใดในโลก ใช้คำว่า “สงคราม (War)” ส่วนใหญ่ใช้คำว่า ความขัดแย้ง “conflict” ในขณะที่องค์การสหประชาชาติ  (United Nations) ใช้คำเกี่ยวกับสถานการณ์นี้ว่า “intensifying border clashes between Thailand and Cambodia” ซึ่งแปลความได้ว่า การปะทะตามแนวชายแดน ที่ทวีความรุนแรงขึ้น ทั้งนี้ เพราะยังมีความเห็นของนักวิชาการต่างประเทศหลายฝ่าย ที่ยังเห็นแตกต่างกันอยู่ว่า แม้มีความขัดแย้งทางอาวุธ (Armed Conflict) แล้ว แต่ยังไม่มีความชัดเจน เรื่องระดับความรุนแรงที่สูงจนทำให้การปะทะยกระดับถึงขั้นที่เป็น “สงคราม (War)” โดยนักวิชาการหลายท่านยังเห็นว่า “สงคราม (War)” จะต้องมีองค์ประกอบเรื่องความต่อเนื่องและความยาวนาน (duration & intensity) ประกอบด้วย

ดังนั้น ตามหลักการตีความ ข้อยกเว้นจะต้องถูกใช้และตีความอย่างเคร่งครัด จึงเป็นเหตุที่ สำนักงาน คปภ.                     จึงให้ความเห็นว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้น ยังไม่เข้าข่ายคำว่า “สงคราม (War)” ตามที่กำหนดไว้ในข้อยกเว้นของกรมธรรม์ประกันภัย แต่หากสถานการณ์มีการเปลี่ยนแปลงไป ย่อมต้องมีการกลับมาพิจารณากันใหม่ตามสถานการณ์ที่เป็นจริง ในห้วงเวลานั้นๆ ต่อไป

2. การตีความว่าจะเข้าข้อยกเว้นอื่นตามกรมธรรม์ประกันภัยหรือไม่นั้น สำนักงาน คปภ. ยังไม่ได้ให้ความเห็นในเรื่องดังกล่าว เนื่องจากกรมธรรม์ประกันภัยแต่ละประเภทของแต่ละบริษัทมีการกำหนดข้อยกเว้นในกลุ่มที่เกี่ยวกับ “War risks Exclusion” มีการใช้ถ้อยคำที่มีความหลากหลาย และแต่ละคำมีความหมายแตกต่างกัน และแยกขาดจากกัน เช่น “สงคราม (War)” “การกระทำของศัตรูต่างชาติ” “การกระทำอันเป็นปฏิปักษ์” “การรุกราน” “การกบฏ” “การแข็งข้อ” “จลาจล”“การก่อการร้าย”“สงครามกลางเมือง” ฯลฯ จึงต้องพิจารณาถ้อยคำตามข้อยกเว้นของกรมธรรม์ประกันภัย ประกอบกับข้อเท็จจริง สถานที่ และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและเปลี่ยนแปลงไปเป็นรายกรณี ทั้งนี้ ในกรณีที่มีข้อพิพาทที่คู่กรณีไม่อาจหา               ข้อยุติกันได้ มีแนวทางที่ใช้อยู่ 2 ลักษณะ ได้แก่

1) การเจรจาไกล่เกลี่ยประนีประนอมกัน หรือ

2) การนำเรื่องเข้าสู่การพิจารณาของศาลยุติธรรม ในการใช้ดุลยพินิจ พิจารณาหรือการตีความถ้อยคำหรือความหมายของข้อกำหนด เงื่อนไขความคุ้มครอง และข้อยกเว้นตามกรมธรรม์ประกันภัยซึ่งหากเทียบเคียงจากเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมืองปี 2553 คู่กรณีในเหตุการณ์ดังกล่าวมีข้อพิพาทในประเด็นสำคัญที่เกี่ยวกับการพิจารณาข้อยกเว้นตามกรมธรรม์ประกันภัยเป็นจำนวนมาก แม้สถานที่เกิดเหตุตั้งอยู่ในบริเวณเดียวกัน แต่ลักษณะข้อเท็จจริงในรายละเอียด เงื่อนไขในกรมธรรม์ประกันภัยการนำสืบในศาลและการกล่าวอ้างข้อยกเว้นในถ้อยคำที่แตกต่างกันเพียงเล็กน้อย ก็สามารถทำให้ผลของคดีแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ซึ่งศาลได้พิเคราะห์องค์ประกอบที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว จะเห็นได้ว่า มีทั้งคำพิพากษาของศาลที่ตีความว่า เข้าข้อยกเว้นตามกรมธรรม์ประกันภัยและไม่เข้าข้อยกเว้นตามกรมธรรม์ประกันภัย

การจ่ายค่าสินไหมทดแทนกรุณา หรือเงินช่วยเหลือในลักษณะมนุษยธรรม “Ex-gratia payment” เป็นสิ่งที่ทำได้หรือฝ่าฝืนกฎหมาย

หลังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น บริษัทประกันภัยหลายแห่งที่มีความประสงค์จะจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้เอาประกันภัยในขณะที่ยังไม่ชัดเจนว่า สถานการณ์ดังกล่าวเข้าข้อยกเว้นตามกรมธรรม์ประกันภัยหรือไม่ หรือไม่ประสงค์ที่จะนำข้อยกเว้นตามกรมธรรม์ประกันภัยมาต่อสู้ แต่ก็มีความกังวลในประเด็นข้อกฎหมายว่าจะเป็นการฝ่าฝืน มาตรา 33 (10) แห่งพระราชบัญญัติประกันชีวิต พ.ศ. 2535 หรือมาตรา 31 (11) แห่งพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535 เรื่องการให้ประโยชน์อื่นเป็นพิเศษนอกเหนือไปจากที่กำหนดไว้ในกรมธรรม์ประกันภัย อันเป็นการต้องห้ามตามกฎหมายหรือไม่นั้น เห็นว่า กรณีเป็นการใช้ดุลยพินิจโดยสุจริตของผู้รับประกันภัย ในส่วนที่เกี่ยวเนื่องกับความคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัย จึงไม่ใช่การจ่ายประโยชน์เป็นพิเศษนอกเหนือจากไปจากที่กำหนดไว้ในกรมธรรม์ประกันภัย ทั้งนี้ เมื่อเทียบเคียงกับคำพิพากษาของศาลในต่างประเทศ  มีกรณีที่ศาลได้พิพากษาให้ผู้รับประกันภัยสามารถรับช่วงสิทธิ จากผู้เอาประกันภัยเพื่อไล่เบี้ยต่อผู้ขนส่ง แม้ว่าผู้รับประกันภัย จะใช้ดุลยพินิจในการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้กับผู้เอาประกันภัยโดยไม่ได้ยกข้อต่อสู้ที่จะทำให้ตนหลุดพ้นจากความรับผิด มาปฏิเสธความคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัยก็ตาม โดยไม่ได้วินิจฉัยว่าการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนของผู้รับประกันภัย                 เป็นการจ่ายตามอำเภอใจ (British & Foreign Marine Ins. Co. v. Kilgour Steamship Co., Limited, 1910)

ทั้งนี้ อาจเพราะเหตุว่าเมื่อกล่าวอ้างข้อยกเว้นก็จะต้องมีภาระการนำสืบ ซึ่งผู้รับประกันภัยย่อมสามารถใช้ดุลยพินิจว่า จะชดใช้สินไหมทดแทน จะเจรจาประนีประนอมยอมความ หรือจะต่อสู้คดี

สำหรับประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการจ่ายค่าสินไหมทดแทนกรุณา หรือเงินช่วยเหลือในลักษณะมนุษยธรรม                          “Ex-gratia payment” แม้ตามหลักการจ่ายในกรณีดังกล่าว จะเกิดขึ้นได้ เฉพาะในกรณีที่บริษัทไม่ต้องรับผิดชอบตามเงื่อนไขในกรมธรรม์ประกันภัยก็ตาม แต่ในทางปฏิบัติของภาคธุรกิจประกันภัยของไทย

ในกรณีที่การตีความข้อตกลงคุ้มครองหรือข้อยกเว้นกรมธรรม์ประกันภัยมีความไม่ชัดเจนว่ากรมธรรม์ประกันภัยจะต้องให้ความคุ้มครองหรือไม่ แต่บริษัทประสงค์จะช่วยเหลือผู้เอาประกันภัย และไม่ต้องการให้ผู้เอาประกันภัยเข้าใจผิดว่ากรณี ที่เกิดขึ้นต้องได้รับความคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัยอย่างแน่นอน บริษัทจะมีการตกลงประนีประนอมยอมความกับผู้เอาประกันภัย และพิจารณาชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้เอาประกันภัยในลักษณะที่ภาคธุรกิจประกันภัยไทยเรียกกันว่า “ค่าสินไหมทดแทนกรุณา หรือเงินช่วยเหลือในลักษณะมนุษยธรรม “Ex-gratia payment” เช่นเดียวกัน

ดังนั้น เมื่อพิจารณาจากภาพรวมผลและกระทบของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น กรณีที่เกิดความไม่ชัดเจน บริษัทย่อมสามารถช่วยเหลือผู้เอาประกันภัยหรือประชาชน โดยพิจารณาชดใช้ค่าสินทดแทนในลักษณะ “การจ่ายค่าสินไหมทดแทนกรุณา หรือ เงินช่วยเหลือในลักษณะมนุษยธรรม “Ex-gratia payment”” ได้ เพื่อให้เกิดการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนหรือให้ความช่วยเหลือผู้เอาประกันภัยอย่างเหมาะสม ซึ่งสำนักงาน คปภ. พร้อมเป็นคนกลางเข้าร่วมเจรจากับบริษัทประกันภัย เพื่อให้ความช่วยเหลือแก่ผู้เอาประกันภัยหรือประชาชนตามความเหมาะสมต่อไป

ซึ่งน่าจะเป็นแนวทางที่ดีที่สุดในการช่วยรักษาความสัมพันธ์อันดีระหว่างผู้เอาประกันภัยกับบริษัทประกันภัย และลดข้อพิพาทที่อาจเกิดขึ้นในศาล รวมทั้งช่วยเสริมสร้างบรรยากาศความรักความสามัคคีของคนในชาติ

Login

Welcome! Login in to your account

Remember me Lost your password?

Lost Password