คลังชมเปราะ! ผลจับกุมสินค้าหนีภาษี – ห่วง ‘เศรษฐกิจ-อุตฯรถยนต์’ ชะงัก ฉุดรายได้สรรพสามิตทั้งปี

“เผ่าภูมิ” นำทีมกรมสรรพสามิตลงพื้นที่ภาคที่ 2 เผย! พอใจผลงานปราบปรามสินค้าหนีภาษี ระบุ! 8 เดือน จับบุหรี่มากสุด 61% เกือบ 3 พันคดี รวมค่าปรับกว่า 1.8 พันล้านบาท ส่วนรายได้ 8 เดือน สูงกว่าปีก่อน 1.5% ห่วงภาวะเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมรถยนต์ชะลอตัว อาจส่งผลกระทบรายได้ทั้งปี ย้ำ! รัฐบาลให้ความสำคัญทิศทางของประเทศเพื่อการพัฒนายั่งยืนมากกว่า

วันนี้ (18 มิถุนายน 2568) ที่สำนักงานสรรพสามิตภาค 2 จ.ชลบุรี ดร. เผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.คลัง พร้อมด้วย น.ส.กุลยา ตันติเตมิต อธิบดีกรมสรรพสามิต และผู้บริหารของกรมฯ ลงพื้นที่จังหวัดชลบุรี เพื่อติดตามผลการดำเนินงานของสำนักงานสรรพสามิตภาคที่ 2 และสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่ในสังกัด ภายใต้นโยบาย “Zero Tolerance : สินค้าหลีกเลี่ยงภาษีสรรพสามิตต้องเป็นศูนย์” ซึ่งเป็นนโยบายสำคัญที่มุ่งเน้นการป้องกันและปราบปรามการลักลอบจำหน่ายสินค้าที่ไม่ได้เสียภาษีอย่างถูกต้องตามกฎหมาย โดยมี ผู้บริหารของกรมสรรพสามิตภาคที่ 2 คอยให้การต้อนรับ
ดร.เผ่าภูมิกล่าวว่า ตนลงพื้นที่ในวันนี้เพื่อเร่งรัด ปราบปราม การลักลอบจำหน่ายบุหรี่เถื่อน ซึ่งมีการหลีกเลี่ยงภาษีสรรพสามิตอย่างแพร่หลาย ทั้งจากการลักลอบนำเข้าผ่านแนวชายแดน และการกระจายสินค้าสู่พื้นที่ต่างๆ รวมถึงการจำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์

โดยการจับกุมในครั้งนี้ เจ้าหน้าที่สำนักงานสรรพสามิตภาคที่ 2 ได้รับแจ้งเบาะแสว่าจะมีการลักลอบขนส่งบุหรี่ที่ยังมิได้เสียภาษี ผ่านบริษัทขนส่งเอกชน จึงเข้าดำเนินการตรวจสอบ ณ ศูนย์กระจายสินค้าแห่งหนึ่ง ในอำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี พบบุหรี่ที่ไม่ได้เสียภาษี รวมจำนวน 22,760 ซอง ประมาณการค่าปรับรวม 21,439,920 บาท โดยเจ้าหน้าที่ได้ตรวจยึดของกลางทันที
สำหรับเส้นทางการลักลอบนำเข้าบุหรี่เถื่อนมีอยู่ 2 รูปแบบหลัก ได้แก่
กรณีที่ 1 ลักลอบนำสินค้าเข้ามาทางทะเล เช่น จังหวัดชลบุรี จังหวัดระยอง จังหวัดสมุทรปราการ โดยใช้เรือเป็นพาหนะในการบรรทุกขนส่งสินค้าผิดกฎหมายเข้ามาในราชอาณาจักรไทย
กรณีที่ 2 ลักลอบนำสินค้าเข้ามาทางตะเข็บแนวชายแดน ผ่านช่องทางธรรมชาติ โดยใช้รถยนต์เป็นพาหนะในการบรรทุกขนส่งสินค้าผิดกฎหมายเข้ามาในราชอาณาจักรไทย

ทั้งนี้ กรมสรรพสามิตเฝ้าระวังการลักลอบนำสินค้าที่มิชอบด้วยกฎหมายสรรพสามิตเข้าในราชอาณาจักรไทยทางตะเข็บแนวชายแดน โดยร่วมมือในการปฏิบัติงานด้านการปราบปรามกับหน่วยงานทั้งภายในและภายนอก ได้แก่ กองทัพบก สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมการปกครอง กรมศุลกากร ศรชล. รวมถึงบริษัทขนส่งเอกชนเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับกลุ่มผู้กระทำความผิด เส้นทางการลักลอบขนส่งสินค้า และรูปแบบการกระทำความผิด ร่วมกันตัดวงจรการขนส่งสินค้าผิดกฎหมายผ่านช่องทางออนไลน์
“กรณีการปิดพรมแดนไทย-กัมพูชา ถือเป็นเรื่องใหม่ ยังไม่มีรายงานของผลกระทบ หรือการหลีกเลี่ยงไปใช้ช่องทางอื่น อย่างไรก็ตาม กรมสรรพสามิตพร้อมจะติดตามและเฝ้าระวังอย่างเข้มงวด” รมช.คลัง ย้ำ

สำหรับผลการปราบปรามในช่วง 8 เดือนแรกของปีงบ 2568 สรรพสามิตภาคที่ 2 และสรรพสามิตพื้นที่ในสังกัด ปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายได้รวม 2,898 คดี เพิ่มขึ้นร้อยละ 13.07 คิดเป็นประมาณการค่าปรับ 1,803,962,689.51 บาท ทั้งนี้ คดีที่พบมากที่สุด คือ คดียาสูบ 61.53% รองลงมาคือคดีสุรา 27.57% โดยจำแนกเป็น
1. ยาสูบ จำนวน 1,783 คดี ค่าปรับ 68,143,266.84 บาท ประมาณการค่าปรับ 1,794,730,859.39 บาท จำนวนของกลาง แบ่งเป็นยาสูบในประเทศ 116,768 ซอง และยาสูบต่างประเทศ 1,232,148 ซอง
2. สุรา จำนวน 799 คดี ค่าปรับ 12,919,358.57 บาท ประมาณการค่าปรับ 1,928,280.52 บาท จำนวนของกลาง แบ่งเป็นสุราในประเทศ 3,038.655 ลิตร และสุราต่างประเทศ 12,294.522 ลิตร
3. น้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน จำนวน 28 คดี ค่าปรับ 4,276,560.00 บาท จำนวนของกลาง 166,000 ลิตร
4. รถจักรยานยนต์ จำนวน 87 คดี ค่าปรับ 4,636,763.91 บาท ประมาณการค่าปรับ 459,000 บาท จำนวนของกลาง 215 คัน
5. ไพ่ จำนวน 32 คดี ค่าปรับ 173,909.20 บาท ประมาณการค่าปรับ 3,618,199 บาท จำนวน ของกลาง 2,775 สำรับ
6. รถยนต์ จำนวน 39 คดี ค่าปรับ 6,396,035 บาท ประมาณการค่าปรับ 316,300 บาท จำนวน ของกลาง 254 คัน
7. สินค้าอื่นๆ จำนวน 130 คดี ค่าปรับ 9,103,614.36 บาท ประมาณการค่าปรับ 2,910,050.60 บาท
ดร. เผ่าภูมิ ยังกล่าวถึงผลการจัดเก็บรายได้ของกรมสรรพสามิตในช่วง 8 เดือนแรกปี 2568 ว่า สามารถจัดเก็บรายได้ทั้งสิ้น 345,800 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน 1.5% อย่างไรก็ตาม จากแนวโน้มภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและโครงสร้างภาษีใหม่ของกรรมสรรพสามิต โดยเฉพาะภาพรวมของอุตสาหกรรมรถยนต์ แม้รายได้ภาษีสรรพสามิตน้ำมันจะเพิ่มขึ้น แต่ก็น้อยกว่ารายได้สรรพสามิตรถยนต์ที่ลดลงมาก จนอาจส่งผลกระทบต่อการจัดเก็บรายได้ของกรมสรรพสามิต ทั้งนี้ รัฐบาลและกระทรวงการคลัง ไม่ได้มองแค่มิติการจัดเก็บรายได้อย่างเดียว แต่ยังมองถึงเหตผลความจำเป็นและทิศทางของประเทศ เพื่อให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน.