‘พาณิชย์-มท.’ ลุยตรวจนอมินีทำสวนทุเรียนเมืองจันท์ – จ่อเอาผิด กม.ฟอกเงิน ยึดทรัพย์เกลี้ยง!

“นภินทร” แจงรายงานจากคณะทำงานปราบปรามสินค้าและธุรกิจต่างประเทศที่ฝ่าฝืนกฎหมาย หลังบูรณาร่วม “พาณิชย์ – มหาดไทย” ลงพื้นที่ อำเภอมะขาม จังหวัดจันทบุรี ตรวจสอบบริษัทร่วมทุนต่างชาติ ทำสวนทุเรียน ส่อเป็นธุรกิจ “นอมินี” ด้าน “รองฯจักรา” เผย! ประสาน ปปง. ขอให้ “คดีนอมินี้” อยู่ในมูลฐานตามกฎหมายฟอกเงิน ยึดทรัพย์ทั้งคนไทยและทุนต่างชาติ

นายนภินทร ศรีสรรพางค์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า สืบเนื่องจากที่ คณะกรรมการบริหารจัดการแก้ไขปัญหาสินค้าและธุรกิจต่างประเทศที่ฝ่าฝืนกฎหมาย ซึ่งมี นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธาน ได้มอบหมายให้ กรมพัฒนาธุรกิจการค้าเร่งตรวจสอบบริษัทที่มีชาวต่างชาติถือหุ้นกรณีที่ประกอบธุรกิจที่ต้องห้ามหรือต้องขออนุญาต ตาม พ.ร.บ. การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 ว่ามีพฤติกรรมที่ใช้คนไทยถือหุ้นแทน (นอมินี) เพื่อเลี่ยงกฎหมายหรือไม่ ทั้งนี้ ในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา (ก.ย. 2567 – พ.ค. 2568) ได้มีการดำเนินคดีกับบริษัทและผู้ถือหุ้นที่กระทำความผิดตามกฎหมายฉบับนี้แล้ว 861 ราย ทุนจดทะเบียนรวม 15,296.60 ล้านบาท

ล่าสุด เมื่อวันที่ 12 มิ.ย. 2568 ตนได้รับรายงานจาก ร้อยตรี จักรา ยอดมณี รองปลัดกระทรวงพาณิชย์ ประธานคณะทำงานปราบปรามสินค้าและธุรกิจต่างประเทศที่ฝ่าฝืนกฎหมาย ว่า ได้ลงพื้นที่ร่วมกับกรมที่ดิน กระทรวงมหาดไทย นำโดย นายทศพร มิตรนิโยดม รองอธิบดีกรมที่ดิน พร้อมคณะจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้าและกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เพื่อเข้าตรวจสอบบริษัทแห่งหนึ่งในเขตอำเภอมะขาม จังหวัดจันทบุรี โดยบริษัทนี้มีทุนจดทะเบียนกว่า 1,000 ล้านบาท มีการถือครองที่ดินเกือบ 200 แปลง รวมพื้นที่กว่า 900 ไร่ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อปลูกสวนทุเรียน

จาก ข้อมูลทางทะเบียนบริษัทดังกล่าว มีสัดส่วนการถือหุ้นคนไทยต่อชาวต่างชาติ 53 : 47 จึงถือว่าเป็นบริษัทไทย อย่างไรก็ดี เนื่องจากการทำนา ทำไร่ หรือทำสวน เป็นธุรกิจต้องห้ามไม่ให้คนต่างด้าวทำโดยเด็ดขาด เพื่อสงวนไว้ให้คนไทย อีกทั้งเป็นธุรกิจที่มีผลต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจด้วย กรณีนี้จึงต้องมีการตรวจสอบว่าการถือหุ้นในสัดส่วนของคนไทยนั้น เป็นการถือหุ้นที่แท้จริงหรือไม่ หรือเป็นนอมินี
ซึ่งในการลงพื้นที่ครั้งนี้ เจ้าหน้าที่ได้เก็บรวบรวมข้อมูลจากหน่วยงานในพื้นที่และจากพนักงานบริษัท พร้อมทั้งมีหนังสือสั่งการให้บริษัทและผู้ถือหุ้นชี้แจงข้อเท็จจริงและส่งเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบโดยละเอียด หากพบว่า มีการกระทำการที่เข้าข่ายผิดกฎหมายก็จะดำเนินคดีอย่างเข้มงวด ทั้งนี้ การปฏิบัติการร่วมในครั้งนี้มาจากความร่วมมือในการแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับการประกอบธุรกิจและการถือครองที่ดิน ภายใต้ MOU ระหว่างกรมพัฒนาธุรกิจการค้าและกรมที่ดิน

กระทรวงพาณิชย์จะบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการสืบสวน แสวงหาข้อเท็จจริง และจับกุมปราบปรามกลุ่มทุนต่างชาติที่ฝ่าฝืนกฎหมายอย่างจริงจังและต่อเนื่อง และขอเตือนคนไทยที่ยินยอมให้ชาวต่างชาติเอาชื่อของตนไปใช้ในการประกอบธุรกิจ ถ้าคิดจะทำหรือกำลังทำอยู่ก็ให้หยุดเสีย เพราะปัญหาที่ตามมาจะเป็นเรื่องใหญ่กว่าที่คิด อาจถูกดำเนินคดีข้อหาให้ความช่วยเหลือ สนับสนุน หรือถือหุ้นแทนคนต่างด้าวเพื่อให้คนต่างด้าวสามารถประกอบธุรกิจโดยหลีกเลี่ยงหรือฝ่าฝืนกฎหมาย มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับตั้งแต่ 100,000 – 1,000,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และศาลจะสั่งให้เลิกการถือหุ้นหรือการเป็นหุ้นส่วนนั้น หากฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาลมีโทษปรับรายวันอีกวันละ 10,000 – 50,000 บาท จนกว่าจะเลิกฝ่าฝืน
ด้าน ร้อยตรีจักรา กล่าวเสริมว่า กระทรวงพาณิชย์ได้เสนอต่อสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เพื่อให้การกระทำความผิดตาม พ.ร.บ. การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวฯ เป็นความผิดมูลฐานตามกฎหมายฟอกเงิน ซึ่งจะทำให้สามารถยึดหรืออายัดทรัพย์สินของบริษัทและของผู้ถือหุ้น ทั้งชาวต่างชาติและคนไทย ที่กระทำความผิดตามกฎหมายฉบับนี้ได้ ต่อไป.