‘ดีเอสไอ’ ลงลึกขยายผลปมศุลกากรจับบุหรี่ไฟฟ้า – ล่าสุด! จับล็อตใหญ่กว่า 33 ล. ยึดของกลาง 2 แสนชิ้น

“3 รมต.” ในรัฐบาลแพทองธาร ร่วมกรมศุลกากร และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แถลงข่าวจับกุมบุหรี่ไฟฟ้าล็อตใหญ่ มูลค่ากว่า 33 ล้านบาท พร้อมยึดของกลางกว่า 2 แสนชิ้น ด้าน “ทวี สอดส่อง” สั่งด่วน! ดีเอไส ร่วมขยายผลลงลึกถึง “ตัวการ ผู้ใช้และผู้สนับสนุน” สนองนโยบายนายกรัฐมนตรี ขจัดการแพร่ระบาดของบุหรี่ไฟฟ้าให้เกิดผลสัมฤทธิ์อย่างเป็นรูปธรรมชัดเจน

เมื่อเวลา 15.00 น. วันที่ 10 มีนาคม 2568 ณ ศูนย์เอกซเรย์และเทคโนโลยีศุลกากร สำนักงานศุลกากรท่าเรือแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี, พ.ต.อ. ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม น.ส.จิราพร สินธุไพร รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง นายสุรชาติ เทียนทอง ผู้ช่วยเลขานุการ รมต.คลัง (ปฏิบัติหน้าที่เลขานุการ รมช.คลัง นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์) นายพลนชชา จักรเพ็ชร ที่ปรึกษา รมช. นายธีรัชย์ อัตนวานิช อธิบดีกรมศุลกากร นายดิเรก คชารักษ์ รองอธิบดีกรมศุลกากร พ.ต.ต. ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ พันตำรวจโท อนุรักษ์ โรจนนิรันดร์กิจ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ พล.ต.อ.ประจวบ วงศ์สุข รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และพล.ต.ท. ยิ่งยศ เทพจำนงค์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 ร่วมแถลงข่าว “กรมศุลกากรขานรับนโยบายปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้า บูรณาการร่วมกับหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องยึดบุหรี่ไฟฟ้าผ่านแดน กว่า 2 แสนชิ้น มูลค่า 33.07 ล้านบาท”

พ.ต.อ. ทวี เปิดเผยว่า ตามนโยบายรัฐบาลโดยการนำของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้มีข้อสั่งการให้ ทุกหน่วยงานภาครัฐบูรณาการความร่วมมือเดินหน้าปราบปราม หยุดยั้งการลักลอบผลิต นำเข้าหรือจำหน่าย เพื่อยับยั้งการแพร่ระบาดบุหรี่ไฟฟ้าทุกชนิด โดยให้เร่งดำเนินการจับกุมและเร่งสร้างภูมิคุ้มกันในการป้องกันการสูบบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้าในเด็กและเยาวชน กระทรวงยุติธรรมเล็งเห็นความสำคัญในเรื่องดังกล่าว จึงได้สั่งการให้กรมสอบสวนคดีพิเศษดำเนินการปราบปรามอย่างจริงจังโดยบูรณาการร่วมกับกรมศุลกากรและสำนักงานตำรวจแห่งชาติในการสกัดกั้นการนำเข้าของบุหรี่ไฟฟ้า ซึ่งหลังจากนี้ หากของกลางที่ตรวจยึดได้ดังกล่าวกรมศุลกากรจะได้ประเมินราคาเพื่อแจ้งให้หน่วยงานที่รับผิดชอบเพื่อดำเนินคดี โดยกรมสอบสวนคดีพิเศษจะได้เร่งทำการสืบสวนสอบสวนและขยายผลไปยังตัวการ ผู้ใช้และผู้สนับสนุน ภายใต้การบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องและมาตรการพิเศษอย่างเด็ดขาด เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการป้องกัน ปราบปรามและแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของบุหรี่ไฟฟ้าให้เกิดผลสัมฤทธิ์อย่างเป็นรูปธรรมชัดเจน ต่อไป

ด้าน นางสาวจิราพร กล่าวว่า ตามที่ นายกรัฐมนตรี มีนโยบายสั่งการให้ปราบปรามการลักลอบนำเข้า – ส่งออกบุหรี่ไฟฟ้าอย่างจริงจัง รวมถึงการลักลอบจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าอย่างเร่งด่วนให้เห็นผลภายใน 30 วัน นับแต่เดือน ก.พ. 2568 โดยเฉพาะในกลุ่มนักเรียนและร้านค้ารอบสถานศึกษา เพื่อความปลอดภัยและสุขภาพที่ดีของประชาชน ซึ่งทาง คณะทำงานฯ ที่ได้รับมอบหมายให้ติดตามเรื่องดังกล่าว จึงเร่งดำเนินการในทุกมิติ โดยเฉพาะการปกป้องกันการลักลอบนำเข้าบุหรี่ไฟฟ้าทุกช่องทาง โดยให้บูรณาการข้อมูลร่วมกันมาอย่างต่อเนื่อง
ส่วน นายจุลพันธ์ กล่าวเสริมว่า นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ได้ขานรับนโยบายและสั่งการให้กรมศุลกากร โดย อธิบดีกรมศุลกากร เพิ่มความเข้มงวดเพื่อตอบสนองนโยบายอย่างเคร่งครัด พร้อมกำชับให้เจ้าหน้าที่เพิ่มการเฝ้าระวังการลักลอบนำเข้าและส่งออกบุหรี่ไฟฟ้าทุกช่องทาง รวมถึงการบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง

จากการวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับความเสี่ยงในการนำเข้าสินค้าผิดกฎหมาย โดยเฉพาะ บุหรี่ไฟฟ้าที่มีการลักลอบนำเข้าหรือผ่านแดน กรมศุลกากรมีการรวบรวมข้อมูลการข่าวและจับตาพฤติการณ์ของผู้ที่มีความเสี่ยงในการลักลอบนำบุหรี่ไฟฟ้าเข้ามาในประเทศไทยอย่างใกล้ชิด ซึ่งกรมศุลกากรได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง จนเมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2568 เวลา 18.00 น. กรมศุลกากร โดยสำนักงานศุลกากรท่าเรือแหลมฉบัง และกองสืบสวนและปราบปราม กรมสอบสวนคดีพิเศษ สถานีตำรวจภูธรเมืองชลบุรี สถานีตำรวจภูธรแหลมฉบัง และตำรวจภูธรภาค 2 ร่วมกันตรวจสอบตู้สินค้าผ่านแดน จำนวน 1 ตู้คอนเทนเนอร์ ณ ท่าเรือ LCMT (A0) สำนักงานศุลกากรท่าเรือแหลมฉบัง ประเทศต้นทางจาก CHINA ส่งไปยังประเทศ Myanmar นำเข้าสินค้าผ่านท่าเรือแหลมฉบัง และจะไปทำการตรวจปล่อยที่ด่านศุลกากรแม่สอด สำนักงานศุลกากรภาคที่ 3 โดยสำแดงสินค้าเป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ อุปกรณ์ทางการแพทย์ ส่วนประกอบรถยนต์ เครื่องจักรและอื่น ๆ จำนวน 1,173 กล่อง

ผลการตรวจสอบพบบุหรี่ไฟฟ้าชนิดใช้แล้วทิ้ง 6,000 ชิ้น มูลค่า 1,200,000 บาท น้ำยาบุหรี่ไฟฟ้า 6,000 ชิ้น มูลค่า 900,000 บาท หัวพ็อดบุหรี่ไฟฟ้าที่ภายในบรรจุน้ำยาบุหรี่ไฟฟ้า 190,100 ชิ้น มูลค่า 28,515,000 บาท และเครื่องบุหรี่ไฟฟ้า พร้อมน้ำยาบุหรี่ไฟฟ้า 8,200 ชิ้น มูลค่า 2,460,000 บาท รวมทั้งหมด 210,300 ชิ้น มูลค่ารวม 33,075,000 บาท อันเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2560 และเป็นของต้องห้ามตามประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง สินค้าต้องห้ามนำผ่านราชอาณาจักร พ.ศ. 2559 ประกอบประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้บารากู่และบารากู่ไฟฟ้า หรือบุหรี่ไฟฟ้าเป็นสินค้าที่ต้องห้ามในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ.2557 และประกาศกรมศุลกากรที่ 185/2564 เรื่อง พิธีการศุลกากรว่าด้วยการผ่านแดนทางอิเล็กทรอนิกส์ ลงวันที่ 1 ธันวาคม 2564 ข้อ 6 ในกรณีนี้จะไม่มีการระงับคดีในชั้นศุลกากร
สำหรับสถิติการจับกุมบุหรี่ไฟฟ้า ในปีงบประมาณ 2568 (1 ตุลาคม 2567 – 7 มีนาคม 2568) จับกุมได้ 298 คดี มูลค่า 73.25 ล้านบาท.


