สตง. เกาะติดตามปมใช้งบฯแก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 – แนะหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมขับเคลื่อนเป็น ‘วาระแห่งชาติ’
สตง. ตรวจสอบติดตามปัญหามลพิษทางอากาศจากฝุ่น PM 2.5 อย่างต่อเนื่อง หลังพบใช้งบประมาณไม่ได้ประสิทธิภาพตามวัตถุประสงค์การใช้เงิน พร้อมให้ข้อเสนอแนะหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน และกรุงเทพมหานคร เร่งแก้ไขปัญหาให้ตรงจุดโดยเร็ว พร้อมประกาศขับเคลื่อนแก้ปัญหาฝุ่นพิษ เป็น “วาระแห่งชาติ” พุ่งเป้าให้บรรลุผลสัมฤทธิ์
นายสุทธิพงษ์ บุญนิธิ รองผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ในฐานะ โฆษกสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน แถลงว่า ตามที่ คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน ได้กำหนดนโยบายการตรวจเงินแผ่นดิน โดยให้ความสำคัญกับการตรวจสอบการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5) ในหลายพื้นที่ของประเทศที่มีแนวโน้มทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้น และส่งผลกระทบโดยตรงต่อสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และสุขภาพของประชาชน ประกอบกับ คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2562 ให้ “การแก้ไขปัญหามลภาวะด้านฝุ่นละออง” เป็นวาระแห่งชาติ
สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ตระหนักถึงความสำคัญของปัญหาดังกล่าวจึงได้เลือกตรวจสอบผลสัมฤทธิ์และประสิทธิภาพการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ทราบถึงปัญหาอุปสรรคในการดำเนินงาน พร้อมเสนอแนะแนวทางในการแก้ปัญหา ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2562–2567 โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงที่จะเกิดปัญหา PM 2.5 เกินค่ามาตรฐาน ซึ่งประกอบด้วยพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน พื้นที่กรุงเทพมหานคร รวมถึงพื้นที่ภาคการเกษตร จำนวน 6 เรื่อง/โครงการ สรุปผลการตรวจสอบได้ดังนี้
1. ปัญหา PM 2.5 ในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน
1.1 ปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 สตง. ได้ตรวจสอบการดำเนินงานการป้องกันและแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมของประเทศไทย ด้านมลพิษอากาศ โดยเฉพาะปัญหาหมอกควันในพื้นที่ภาคเหนือตอนบน 9 จังหวัด โดยเลือกตรวจสอบหน่วยงานที่มีการสนับสนุนงบประมาณให้กับชุมชนหรือเครือข่ายเพื่อดำเนินการสนับสนุนภารกิจด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควัน ทั้งในส่วนของการสร้างเครือข่ายความร่วมมือในการควบคุมไฟป่าในพื้นที่ทั่วประเทศของกรมป่าไม้ ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2556-2562 รวมทั้งสิ้น 1,618 เครือข่าย ซึ่งในจำนวนนี้เป็นเครือข่ายที่อยู่ในพื้นที่ภาคเหนือตอนบน 9 จังหวัด จำนวน 1,142 เครือข่าย โดยใช้งบประมาณจำนวน 98.40 ล้านบาท รวมถึงกรณีที่กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช สนับสนุนงบประมาณในการจัดอบรมหรือเสวนาให้ความรู้เกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาดังกล่าวให้กับสมาชิกของเครือข่ายในพื้นที่ภาคเหนือ 9 จังหวัด ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2557-2562 เครือข่ายละ 50,000 บาท จำนวน 542 เครือข่าย ซึ่งผลการตรวจสอบในขณะนั้นพบว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังขาดการติดตามและประเมินผลการดำเนินงานของชุมชนหรือเครือข่ายที่ได้รับงบประมาณสนับสนุนเพื่อดำเนินการตามภารกิจด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควัน ทำให้การป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าอาจยังไม่มีประสิทธิภาพและเกิดผลสัมฤทธิ์เท่าที่ควร
1.2 ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 สตง. ได้ตรวจสอบผลสัมฤทธิ์และประสิทธิภาพการดำเนินงานยุทธศาสตร์ที่ 4 ดำรงฐานทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ การบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมและพลังงานโดยการมีส่วนร่วมของชุมชนสู่การเป็นกลุ่มจังหวัดสีเขียว ปีงบประมาณ พ.ศ. 2561-2563 ของกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 โดยตรวจสอบผลการดำเนินงานตามตัวชี้วัดและค่าเป้าหมายในระดับยุทธศาสตร์และระดับโครงการ ในพื้นที่จังหวัดเชียงรายและจังหวัดแพร่ โดยสุ่มตรวจสอบกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันแก้ไขปัญหาหมอกควันและไฟป่าในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 ในกิจกรรมย่อย 3 ประเภท ได้แก่ กิจกรรมลาดตระเวนป้องกันและดับไฟป่า สร้างแนวกันไฟ กิจกรรมปลูกต้นไม้เพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียว และกิจกรรมส่งเสริมอาชีพเพื่อลดปัญหาการเข้าป่าหาของป่าและการทำเกษตรวิถีเดิม งบประมาณรวม 47.60 ล้านบาท ซึ่งพบว่า กิจกรรมลาดตระเวนป้องกันและดับไฟป่า สร้างแนวกันไฟ มีการจัดทำสัญญาจ้างเหมาราษฎรเพื่อลาดตระเวนป้องกันและดับไฟป่าในบางช่วงระยะเวลาการดำเนินงานอยู่ในฤดูฝน ซึ่งการเกิดไฟป่าและปัญหาความรุนแรงจากหมอกควันลดน้อยลง การใช้จ่ายงบประมาณในช่วงเวลาดังกล่าวจึงอาจเป็นไปอย่างไม่มีประสิทธิภาพ ประสิทธิผลเท่าที่ควร กิจกรรมปลูกต้นไม้เพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียว ดำเนินการปลูกต้นไม้ในพื้นที่ที่ ไม่เหมาะสม ไม่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์โครงการ และกิจกรรมส่งเสริมอาชีพเพื่อลดปัญหาการเข้าป่าหาของป่าและการทำเกษตร วิถีเดิม พบว่า ผู้เข้าร่วมกิจกรรมส่วนใหญ่ไม่ได้รับผลผลิตจากกิจกรรมส่งเสริมอาชีพเพาะเห็ดและยังคงมีวิถีชีวิตในการเข้าหาของป่าเช่นเดิม ทำให้ไม่เกิดผลสัมฤทธิ์ตามวัตถุประสงค์ที่กำหนด
1.3 ปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 สตง. ได้ตรวจสอบผลสัมฤทธิ์และประสิทธิภาพการดำเนินงาน จำนวน 2 โครงการ/เรื่อง ดังนี้
1.3.1 โครงการแก้ไขปัญหาไฟป่าและฝุ่น PM 2.5 ตามแผนปฏิบัติราชการประจำปีของจังหวัดเชียงใหม่ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564–2567 งบประมาณที่ได้รับจัดสรรรวม 43.61 ล้านบาท ผลการตรวจสอบในภาพรวมพบว่า การดำเนินโครงการบางส่วนยังขาดประสิทธิภาพและไม่บรรลุผลสัมฤทธิ์ อาทิ จากการตรวจสอบฝายต้นน้ำแบบผสมผสานซึ่งใช้เป็นแหล่งน้ำสำหรับดับไฟป่าในเขตพื้นที่รอยต่อจังหวัดเชียงใหม่และเชียงราย จำนวน 158 แห่ง พบว่ามีสภาพชำรุดมากถึงร้อยละ 87.34 และส่วนใหญ่ไม่มีน้ำเพียงพอสำหรับดับไฟป่า ในขณะเดียวกัน จากการตรวจสอบการจัดทำแนวกันไฟในพื้นที่ 15 ชุมชน ซึ่งมีการดำเนินการแล้วเสร็จจำนวน 11 ชุมชน พบว่ามีไฟป่าเกิดขึ้นในพื้นที่จำนวน 6 ชุมชน ซึ่งสาเหตุเกิดจากการจัดทำแนวกันไฟล่าช้าและขาดการลาดตระเวน เฝ้าระวังตามแนวกันไฟตลอดช่วงระยะเวลาฤดูกาลของไฟป่า
จากการตรวจสอบของ สตง. พบว่า การดำเนินกิจกรรมตามโครงการบางส่วนยังขาดประสิทธิภาพและไม่สอดคล้องกับสถานการณ์จริง เช่น การกำหนดระยะเวลาดำเนินกิจกรรมลาดตระเวนและดับไฟเพียง 20-30 วัน ในขณะที่ช่วงเวลาที่เกิดไฟป่ารุนแรงมีระยะเวลานาน 45-60 วัน การประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าให้กับกลุ่มผู้นำชุมชนและประชาชนในพื้นที่ยังไม่ทั่วถึงเพียงพอ ขาดเทคโนโลยีสนับสนุนในการเพิ่มประสิทธิภาพในการดับไฟ หรือป้องกัน/ตรวจสอบก่อนการเข้าพื้นที่เกิดเหตุ เช่น โดรน และกล้องวงจรปิด เป็นต้น ขาดการติดตามและประเมินผลการดำเนินงานของกิจกรรมลาดตระเวน เฝ้าระวัง ดับไฟป่า การบังคับใช้กฎหมาย การตั้งจุดตรวจ–จุดสกัด หรือเฝ้าระวังคนเข้าออกพื้นที่ป่า ฯลฯ สาเหตุต่าง ๆ ข้างต้น เป็นส่วนสำคัญหนึ่งที่ส่งผลให้จังหวัดเชียงใหม่มีคุณภาพอากาศเกินเกณฑ์มาตรฐานกำหนดและประชาชนในพื้นที่ได้รับผลกระทบด้านสุขภาพอนามัย รวมถึงรายได้จากการท่องเที่ยวในจังหวัดลดลง โดยเฉพาะกิจการด้านโรงแรม ร้านอาหาร
1.3.2 โครงการบูรณาการสิ่งแวดล้อมและสาธารณภัย เป็นโครงการตามแผนปฏิบัติราชการของจังหวัดและกลุ่มจังหวัด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ของกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 งบประมาณรวมทั้งสิ้นจำนวนเงิน 41.87 ล้านบาท ซึ่งประกอบด้วย 2 กิจกรรมหลัก ได้แก่
1) เพิ่มพื้นที่สีเขียวในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคเหนือ ตอนบน 2 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อฟื้นฟูพื้นที่ป่าต้นน้ำเสื่อมโทรมซึ่งเป็นพื้นที่ป่าอนุรักษ์ให้กลับคืนความอุดมสมบูรณ์ทางระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพ รวมเนื้อที่ 19,603 ไร่ แต่จากการตรวจสอบพบว่า หน่วยดำเนินการได้ปลูกป่าบางส่วนในพื้นที่ที่มีสภาพป่าสมบูรณ์อยู่แล้ว จึงไม่สอดคล้องกับหลักเกณฑ์ที่กำหนด
2) บูรณาการแก้ไขปัญหาหมอกควันไฟป่ากลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 ประกอบด้วย 10 กิจกรรมย่อย เช่น ปลูกจิตสำนึกการสร้างเครือข่ายการมีส่วนร่วมในการป้องกันแก้ไขปัญหาหมอกควันและไฟป่า การพัฒนาและส่งเสริมการปลูกไผ่เพื่อเป็นพืชทดแทนในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและลดปัญหาฝุ่นควันภาคเหนือตอนบน 2 และการบริหารจัดการพื้นที่เกษตรและวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรเพื่อลดปัญหาหมอกควัน จากการตรวจสอบพบว่า แม้บางกิจกรรมจะมีการดำเนินงานเป็นไปตามเป้าหมาย แต่ก็ยังคงพบปัญหา เช่น แปลงสาธิตการปลูกไผ่ในบางพื้นที่ถูกไฟไหม้เสียหายถึงร้อยละ 95 และการปลูกพืชเศรษฐกิจบางชนิด เช่น อะโวคาโดและมะม่วง ในบางพื้นที่มีอัตราการรอดต่ำ คิดเป็นร้อยละ 2.81 และร้อยละ 58.18 ตามลำดับ
2. ปัญหา PM 2.5 ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร
ปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 สตง. ได้ตรวจสอบการดำเนินงานมหานครปลอดภัย ด้านปลอดมลพิษ ตามแผนพัฒนากรุงเทพมหานคร ระยะ 20 ปี ระยะที่ 1 (พ.ศ. 2556-2560) โดย กรุงเทพมหานครมีโครงการ/กิจกรรมภายใต้กลยุทธ์เฝ้าระวังปริมาณมลพิษในอากาศให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน จำนวน 5 โครงการ/กิจกรรม ได้แก่ โครงการจัดหาเครื่องตรวจวัดคุณภาพอากาศติดตั้งบนเสาเหล็กและแบบเคลื่อนที่ โครงการจ้างเหมาตรวจวัดและซ่อมบำรุงสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศและเสียงริมเส้นทางจราจร กิจกรรมแสดงผลคุณภาพอากาศและเสียงริมเส้นทางจราจร กิจกรรมตรวจวัดคุณภาพอากาศและเสียงในบรรยากาศด้วยรถตรวจวัดคุณภาพอากาศและเสียง และการจัดทำเอกสารเผยแพร่ความรู้ด้านการจัดการคุณภาพอากาศและเสียง และการอนุรักษ์พลังงาน วงเงินรวม 435.46 ล้านบาท โดยมีประเด็นผลการตรวจสอบที่เกี่ยวข้องกับการจัดการคุณภาพอากาศ พบว่า การดำเนินงานเพื่อเฝ้าระวังปริมาณมลพิษในอากาศให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์และเป้าหมายที่กำหนด โดยการตรวจวัดคุณภาพอากาศโดยสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศแบบถาวรในแต่ละเขตพื้นที่ไม่มีความต่อเนื่อง และปริมาณมลพิษในอากาศที่ตรวจวัดได้ในปี 2560 และ 2561 อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานต่ำกว่าเป้าหมายที่กำหนด จำนวน 3 ชนิด ได้แก่ ฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 10 ไมครอน ก๊าซโอโซน และก๊าซไนโตรเจนไดออกไซต์ ขณะที่ฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน มีผลการตรวจวัดในปี 2560 อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานตามที่กำหนดไว้ แต่มีแนวโน้มแย่ลงในปี 2561 โดยมีข้อมูลค่าเฉลี่ย 24 ชั่วโมงที่ตรวจวัดได้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานลดลงจากปีก่อน
3. ปัญหา PM 2.5 ในพื้นที่ภาคการเกษตร จากสถานการณ์การเผาอ้อยเป็นจำนวนมากในช่วงฤดูกาลเก็บเกี่ยวอ้อยเข้าโรงงานระหว่างเดือนธันวาคมถึงเมษายนของทุกปี ซึ่งมีส่วนสำคัญที่ทำให้มลพิษทางอากาศทวีความรุนแรงมากขึ้น และคณะรัฐมนตรีเห็นชอบมาตรการแก้ไขปัญหาอ้อยไฟไหม้ ซึ่งมีเป้าหมายลดการเผาอ้อยให้หมดไปภายในฤดูการผลิตปี 2566/2567 สตง. จึงได้เลือกตรวจสอบผลสัมฤทธิ์และประสิทธิภาพการดำเนินงานการแก้ไขปัญหาอ้อยไฟไหม้เพื่อลด PM 2.5 โดยได้นำการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data Analytics) มาใช้ร่วมกับการลงพื้นที่ โดยได้วิเคราะห์การเกิดจุดความร้อน (Hot Spot) และสภาพปัญหา PM 2.5 และการส่งอ้อยเข้าโรงงานของเกษตรกร เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจสอบผลการดำเนินงานและเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาที่เหมาะสม ผลการตรวจสอบในภาพรวมพบว่า การลดการเผาเพื่อตัดอ้อยส่งโรงงานไม่บรรลุเป้าหมายที่กำหนด โดยตั้งแต่ฤดูการผลิต ปี 2562/2563 – ปี 2566/2567 มีปริมาณอ้อยไฟไหม้สูงกว่าเป้าหมายทุกฤดูการผลิต เช่น ฤดูการผลิต 2562/63 มีสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 49.65 และลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 29.64 ในฤดูการผลิตปี 2566/67 ซึ่งยังไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ร้อยละ 0
จากการตรวจสอบการดำเนินมาตรการต่าง ๆ เพื่อช่วยสนับสนุนให้เกษตรกรตัดอ้อยสด พบว่า เกษตรกรที่ได้รับเงินช่วยเหลือยังคงใช้วิธีเผาอ้อยในฤดูการผลิตถัดมา เกษตรกรที่ยืมเครื่องสางใบอ้อยไปใช้งานยังส่งอ้อยไฟไหม้เข้าโรงงานในสัดส่วนที่เพิ่มขึ้น หรือเกษตรกรที่ได้รับสินเชื่อ เพื่อจัดซื้อเครื่องจักรกลการเกษตร ร้อยละ 81.03 ยังคงส่งอ้อยไฟไหม้เข้าโรงงานในฤดูการผลิตหลังจากที่ได้รับสินเชื่อ ในขณะที่โรงงานน้ำตาลส่วนใหญ่ยังคงรับซื้ออ้อยไฟไหม้เพื่อรักษาความต่อเนื่องในการผลิตน้ำตาล นอกจากนี้ เกษตรกรส่วนใหญ่ยังคงใช้วิธีการเผาใบและเศษซากต้นอ้อยหลังการเก็บเกี่ยว และหน่วยงานที่รับผิดชอบยังไม่สามารถผลักดันให้เกิดการใช้ประโยชน์จากใบและยอดอ้อยเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าชีวมวลได้ ซึ่งจากการดำเนินงานที่ไม่บรรลุเป้าหมายดังกล่าวส่งผลให้การใช้จ่ายงบประมาณแผ่นดินในการดำเนินมาตรการแก้ไขปัญหาอ้อยไฟไหม้ไม่เกิดความคุ้มค่าและทำให้ประชาชนในพื้นที่และบริเวณใกล้เคียงมีความเสี่ยงที่จะได้รับมลพิษทางอากาศซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพโดยตรง
สาเหตุเนื่องจากการตัดอ้อยสดในหลายพื้นที่มีข้อจำกัด เช่น แรงงานที่รับจ้างตัดอ้อยมีจำนวนจำกัด สภาพพื้นที่ไม่เหมาะสมกับการใช้รถตัดอ้อย รถตัดอ้อยมีจำนวนจำกัดและให้บริการยังไม่ทั่วถึง ทั้งนี้ แนวทางการดำเนินโครงการและกิจกรรมภายใต้มาตรการยังขาดกิจกรรมที่ช่วยแก้ไขปัญหาให้กับเกษตรกรในพื้นที่ที่มีข้อจำกัดในการตัดอ้อยสดที่เป็นรูปธรรมเพื่อเป็นทางเลือกให้กับเกษตรกรในการปรับเปลี่ยนวิธีการตัดอ้อย มาตราการหักเงินชาวไร่อ้อยที่ส่งอ้อยไฟไหม้ในอัตรา 30 บาทต่อตัน ไม่ส่งผลในการตัดสินใจปรับเปลี่ยน รวมทั้งมาตรการทางกฎหมายเกี่ยวกับการกำหนดปริมาณอ้อยไฟไหม้ที่โรงงานรับซื้อเป็นเพียงการขอความร่วมมือโดยไม่มีสภาพบังคับ
นายสุทธิพงษ์ กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า จากการวิเคราะห์ประสิทธิภาพการดำเนินมาตรการและกลไกการบริหารจัดการแก้ไขปัญหาตามแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ การแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละอองปี 2562-2567 จากรายงานผลการตรวจสอบของ สตง. ที่ผ่านมา ได้สะท้อนถึงข้อบกพร่องหรือจุดอ่อนที่ทำให้การใช้งบประมาณในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวไม่เกิดประสิทธิผลและไม่คุ้มค่า ดังนี้
1. มาตรการส่วนใหญ่ เป็นการดำเนินการที่ตอบสนองต่อสถานการณ์เฉพาะหน้า บางมาตรการมีความล่าช้า หรือผลการดำเนินการยังไม่เกิดประสิทธิผลที่เป็นรูปธรรม
2. กิจกรรมที่ดำเนินการขาดการเชื่อมโยงกับการบริหารจัดการแบบมีส่วนร่วมของชุมชนในระดับพื้นที่ และส่งผลให้ขาดความต่อเนื่อง และไม่เกิดผลลัพธ์ที่ยั่งยืน
3. กลไกการจัดทำงบประมาณของหน่วยงานต่าง ๆ ภายใต้งบประมาณประจำปีของหน่วยงานงบประมาณจังหวัด และงบประมาณกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการ ยังไม่ได้ทำให้มาตรการที่นำไปปฏิบัติลงสู่พื้นที่เป้าหมายเกิดการบูรณาการกัน กิจกรรมของหน่วยงานต่าง ๆ ยังไม่ได้สนับสนุนซึ่งกันและกันเท่าที่ควร หรือยังมีความไม่สอดคล้องในการแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ และบางกิจกรรมมีความซ้ำซ้อน
4. การบริหารจัดการข้อมูลเชิงพื้นที่ระหว่างหน่วยงานยังขาดระบบการทำงานบนฐานข้อมูลเดียว หรือขาดการแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน ส่งผลให้การแก้ไขปัญหายังไม่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน
โฆษกสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน กล่าวในตอนท้ายว่า จากการตรวจสอบที่ผ่านมาข้างต้น สตง. ได้มีการแจ้งผลการตรวจสอบและให้ข้อเสนอแนะในการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งในระดับนโยบาย และในระดับพื้นที่ โดยเฉพาะในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน และกรุงเทพมหานคร เพื่อให้การป้องกันและแก้ไขปัญหาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ สามารถลดมลพิษทางอากาศจากแหล่งกำเนิด และเกิดประสิทธิผลในการควบคุมสถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 ให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน ลดผลกระทบด้านสุขภาพอนามัยที่มีต่อประชาชน และสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีอย่างยั่งยืน
ทั้งนี้ สตง. จะยังคงเป็นกลไกที่สำคัญในการตรวจสอบและติดตามผลการใช้จ่ายงบประมาณของรัฐบาล และหน่วยงานภาครัฐ ในการป้องกันและแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมของประเทศอย่างใกล้ชิด กล่าวคือ ตามนโยบายการตรวจเงินแผ่นดิน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ได้กำหนดทิศทางและเป้าหมายการตรวจเงินแผ่นดินให้ตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ในประเด็นการเติบโตที่ยั่งยืน แผนย่อยการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนบนสังคมที่เป็นมิตรต่อสภาพภูมิอากาศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็กที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางเฉลี่ยน้อยกว่า 2.5 ไมครอน ที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ตามแนวทางการดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาล
นอกจากนี้ สตง. ได้กำหนดแผนการตรวจสอบประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ให้มีการตรวจสอบการปฏิบัติตามกฎหมายการใช้จ่ายเงินสำหรับโครงการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 เพื่อให้ทราบว่า การใช้จ่ายเงินสำหรับโครงการฯ เป็นไปตามระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรี และแบบแผนปฏิบัติทางราชการหรือไม่ และให้มีการตรวจสอบผลสัมฤทธิ์และประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 ของกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน และกรุงเทพมหานคร เพื่อให้ทราบว่า การใช้จ่ายเงินตามโครงการแก้ไขปัญหาดังกล่าวเป็นไปตามวัตถุประสงค์และเป้าหมาย รวมทั้งประชาชนมีสุขภาพแข็งแรง สามารถลดค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลหรือไม่ ซึ่งหากมีความคืบหน้าของผลการตรวจสอบจะได้นำมานำเสนอให้ทราบในโอกาสต่อไป.