พาณิชย์นำถกด่วน ‘16 หน่วยงาน’ แก้ปม ‘สินค้าด้อยคุณภาพ- นอมินีต่างชาติ’ เผย! 30 วันเห็นผลแน่
“พิชัย นริพทะพันธุ์” โชว์บทผู้นำ ถกนัดแรก 16 หน่วยงาน พร้อมแถลงแนวทางแก้ปัญหาสินค้าด้อยคุณภาพและธุรกิจนอมินีต่างชาติ ตั้งเป้า 30 วัน เห็นผลเป็นรูปธรรม ตั้ง 2 คณะอนุฯ ให้ รมช.พาณิชย์คุมงาน ลั่น! ลดสินค้าด้อยคุณภาพแล้วกว่า 20%
เชื่ออนาคตคนไทยจะได้รับสินค้าดีและมีคุณภาพสูงขึ้น เหตุทางการจีนรับปากช่วยดูแลสินค้าคุณภาพดีก่อนส่งมาไทย เผย! แพลตฟอร์ม TEMU ติดต่อมาแล้ว พร้อมนำบริษัทจดจัดตั้งในไทยและยึดตามกฎหมายไทยเร็วๆ นี้
นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ แถลงภายหลังเป็น ประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารจัดการแก้ไขปัญหาสินค้าและธุรกิจต่างประเทศที่ฝ่าฝืนกฎหมาย ครั้งที่ 1/2567 ต่อเนื่องจากที่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการฯ เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2567 ที่ผ่านมา เพื่อดำเนินการเชิงรุกในการติดตามและเร่งรัดมาตรการในการแก้ไขปัญหาปัญหาสินค้าและธุรกิจต่างประเทศที่ฝ่าฝืนกฎหมาย ให้เห็นผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว โดยไม่ให้เกิดผลกระทบต่อผู้บริโภค และผู้ประกอบการ SMEs ของไทย โดยระบุว่า วันนี้เป็นการประชุมครั้งแรก ซึ่งท่านนายกฯ มีความห่วงใยมาก โดยเฉพาะสินค้าที่ด้อยคุณภาพและมีผลกระทบต่อประชาชน คณะกรรมการฯที่ตั้งขึ้นมานี้ เป็นการดึงทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันเร่งรัดมาตรการเพื่อแก้ไขปัญหาให้เห็นผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว เราตั้งใจดำเนินการตามข้อสั่งการท่านนายกฯ ทำให้เห็นผลเป็นรูปธรรมภายใน 1 เดือน และจะจัดประชุมอย่างต่อเนื่อง เพื่อติดตามความคืบหน้าและพิจารณามาตรการที่เกี่ยวข้อง ต่อไป
โดยการแต่งตั้ง คณะกรรมการอนุกรรมการขึ้นมา 2 ชุด โดยให้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายนภินทร ศรีสรรพางค์) เป็น ประธานคณะอนุกรรมการทั้ง 2 ชุด ประกอบด้วย 1.คณะอนุกรรมการส่งเสริมและยกระดับ SMEs ไทยและแก้ไขปัญหาสินค้าที่ไม่มีคุณภาพจากต่างประเทศ ทำหน้าที่กำหนดมาตรการ ดำเนินการควบคุมและกำกับดูแลการจำหน่ายสินค้า ตลอดจนเจรจากับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหรือแพลตฟอร์มพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ เพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหาสินค้าที่ไม่มีคุณภาพจากต่างประเทศอย่างเป็นรูปธรรม และ 2.คณะอนุกรรมการป้องกันและป้องปรามธุรกิจอำพรางของคนต่างด้าว (Nominee) เพื่อกำหนดแนวทางการกำกับดูแลและป้องปราม รวมถึงสืบสวน สอบสวนหรือตรวจสอบพฤติกรรมของบุคคลและนิติบุคคลที่อาจมีพฤติกรรมเป็นนอมินี
รมว.พาณิชย์ กล่าวว่า เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2567 ที่ผ่านมา ตนได้หารือร่วมกับ นายหาน จื้อเฉียง เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย ซึ่งทางจีนยินดีให้ความร่วมมือ และต้องการรักษาความรู้สึกที่ดีกับไทย และวันที่ 4-6 พฤศจิกายนนี้ ตนจะเดินทางไปจีน เพื่อพบปะกับผู้บริหารระดับสูงของจีน และปรึกษาหารือในเรื่องดังกล่าว เพราะไทยยังต้องพึ่งพาจีน ทั้งด้านการค้าและการลงทุน โดยไทยมีสินค้าหลายชนิดที่ต้องพึ่งพาตลาดจีน เช่น มันสำปะหลัง วัว เหล็ก เป็นต้น
“หวังว่าเรากับจีนจะพึ่งพากันได้ และไม่กระทบผู้ประกอบการไทย โดยวางแผนที่จะร่วมมือกับภาคเอกชนขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการฯ ผ่าน “กลไกประสานงานและส่งเสริมธุรกิจไทย-จีน อย่างยั่งยืน” ที่จัดตั้งโดยคณะกรรมการหอการค้าและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย หอการค้าไทย-จีน และสมาคมการค้าวิสาหกิจจีน อีกด้วย” นายพิชัย กล่าวและว่า….
“ทุกหน่วยงานจะเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม ชัดเจนแล้วว่า ขณะนี้ เราได้รับการติดต่อจาก TEMU ว่าจะดำเนินจดจัดตั้งบริษัทในประเทศไทยเร็วๆ นี้ ซึ่ง กรมการค้าต่างประเทศได้มีการติดต่อแล้วให้ทุกอย่างเป็นไปตามข้อกฎหมายที่มีอยู่อย่างเข้มงวด และจะมีการบังคับใช้กฎหมายที่มีให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับผู้บริโภคและผู้ประกอบการไทย เชื่อว่าภายใน 30 วันจะเห็นผล ตามที่นายกรัฐมนตรีได้สั่งการมา ถ้ามีความกังวลเรื่องอาหารและผักผลไม้ที่จะมีผลกระทบต่อสุขภาพ เราได้มีการให้ อย. และศุลกากร เข้มงวดเรื่องนี้เช่นกันไม่ต้องการให้สุขภาพของประชาชนมีปัญหา ที่สำคัญทางรัฐบาลจีนรับปากไทยจะช่วยดูแลสินค้าจีนให้มีมาตรฐานและคุณภาพดีก่อนส่งออกมาทำตลาดในไทยเพื่อให้คนไทยซื้อสินค้าดีราคาไม่แพง อีกทั้งได้รับรายงานจากภาคเอกชนสินค้าไม่มีคุณภาพเริ่มน้อยลงไปมากกว่าร้อยละ 20 ดังนั้น เมื่อมาตรการต่างๆออกมาในอนาคตเชื่อว่าสินค้าจีนจะมีคุณภาพที่ดีในตลาดไทยอย่างแน่นอน”
ด้าน นายยุทธนา พูลพิพัฒน์ รองอธิบดีกรมศุลกากร เปิดเผยว่า ทางศุลกากรมีการตรวจสอบอย่างเข้มข้นมาโดยตลอด ที่มีประเด็นเรื่องสินค้าที่ด้อยคุณภาพ ที่ผ่านมาการนำเข้าที่มีปริมาณเล็กน้อย สมอ. (สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม) ยินยอมให้นำเข้ามาได้โดยไม่ต้องขออนุญาต แต่ปัจจุบัน สินค้าที่จำหน่ายภายในประเทศ จำเป็นต้องติด หรือมีใบอนุญาตจาก มอก.
ส่วน นายสุรโชค ต่างวิวัฒน์ เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ระบุว่า ในส่วนของ อย.เราดำเนินการตั้งแต่ที่ด่าน การคัดกรองเข้มข้นมากขึ้น รวมทั้งการแก้ไขกฎหมายให้มีการนำสินค้าติดตัว ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นกองทัพมด เราลดความถี่และจำนวนที่นำเข้าติดตัวมาแต่ละครั้ง รวมทั้งมีการตรวจในพื้นที่ทั้ง กทม. และภูมิภาค ใน กทม. ดำเนินการลงพื้นที่ทุกสัปดาห์ ในต่างจังหวัดร่วมมือกับสาธารณสุขจังหวัดทุกจังหวัด ดูว่ามีสินค้าที่ไม่ผ่านการรับรอง อย. นำมาขายโดยไม่ถูกต้องอย่างเข้มข้นอยู่ตลอด
ขณะที่ นางสาวทรงศิริ จุมพล รองเลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) กล่าวว่า ทาง สคบ. มีเรื่องฉลากสินค้าและความปลอดภัย สินค้าที่มีการผลิตการนำเข้ามาเพื่อขายต้องมีการติดฉลากแสดงรายละเอียดให้ผู้บริโภคทราบ ยกเว้นเป็นสินค้าที่อยู่ในความดูแลของ อย. การนำเข้ามาต้องมีการแสดงรายละเอียดในฉลากก่อนนำถึงผู้บริโภค ต้องติดฉลากให้ถูกต้อง กรณีเก็บเงินปลายทางผู้บริโภคมีสิทธิเปิดสินค้าตรวจสอบและสามารถคืนผู้ให้บริการขนส่ง ซึ่งจะช่วยแก้ไขปัญหาได้บางส่วน
สำหรับ นายนนทิชัย ลิขิตาภรณ์ ผู้อำนวยการกองตรวจการมาตรฐาน 1 สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) กล่าวว่า สมอ. ร่วมกับกรมศุลกากร เราปิดช่องทางการนำเข้าโดยไม่ใช้ใบอนุญาตตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.ที่ผ่านมา และร่วมกันตั้งศูนย์ปฏิบัติการหากไม่มีใบอนุญาต จะแสกนสินค้าน้้นโดยละเอียด และที่เขต free zone (เขตปลอดอากร) จะมีการตรวจสินค้าที่ออกจากเขตอย่างเข้มงวด.