‘คมนาคม’ เร่ง ‘แลนด์บริดจ์’ หนึ่งล้านล้าน เล็งชง พ.ร.บ.SEC ไฟเขียว ก.ย.นี้
สนข. ซาวด์เสียงโครงการแลนด์บริดจ์ 1 ล้านล้านบาท โชว์รายชื่อนักลงทุนไทย-ต่างชาติ ให้ความสนใจ กางไทม์ไลน์ชงครม.ไฟเขียวร่างพ.ร.บ.SEC ก.ย.นี้ ปักหมุดเปิดประมูลปลายปี 68 เฟส1เปิดบริการปี 73 รองรับปริมาณตู้สินค้า 6 ล้านทีอียู
วันที่ 30 พ.ค. 2567 นางมนพร เจริญศรี รมช.คมนาคม เปิดเผยภายหลังเป็นประธาน เปิดการสัมมนาจัดการทดสอบ ความสนใจจากภาคเอกชน (Market Sounding) โครงการศึกษาความเหมาะสม ออกแบบเบื้องต้น ประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและวิเคราะห์รูปแบบโมเดลการพัฒนาการลงทุนโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งเพื่อพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ เพื่อเชื่อมโยงการขนส่งระหว่างอ่าวไทยและอันดามัน (โครงการแลนด์บริดจ์) ว่าเพื่อรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากภาคเอกชนในการพิจารณารูปแบบการร่วมลงทุนโครงการ โดยมีตัวแทนจากภาคธุรกิจเอกชน กลุ่มสถาบันการเงิน กลุ่มนักลงทุน สถานทูต ผู้แทนหน่วยงานภาครัฐ และสมาคมการค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ ร่วมงานเป็นจำนวนมาก
นางมนพร กล่าวว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คมนาคม ได้เดินสายโรดโชว์โครงการแลนด์บริดจ์ ให้นานาประเทศได้รู้จักโครงการเพื่อดึงภาคเอกชนที่มีศักยภาพเข้ามาร่วมลงทุน โดยได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี จากหลายประเทศ เช่น ประเทศสหรัฐอเมริกา ประเทศญี่ปุ่น ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ประเทศอิตาลี สาธารณรัฐประชาชนจีน และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์(ดูไบ) ขณะเดียวกันได้มีบางประเทศที่ให้ความสนใจและได้เดินทางมาดูพื้นที่ที่จะก่อสร้างโครงการฯ ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น และดูไบ
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้กระทรวงคมนาได้จะเร่งรัดออกกฎหมายร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ (SEC) และจัดทำร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ (พ.ร.บ.SEC) เพื่อเป็นหน่วยงานในการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ ในลักษณะเดียวกับพระราชบัญญัติเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (พ.ร.บ.อีอีซี) ที่ใช้ขับเคลื่อนโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ปัจจุบันสนข.ได้เสนอร่างพ.ร.บ.ดังกล่าวมาที่กระทรวงแล้ว หลังจากนั้นจะเสนอต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบภายในเดือนก.ย.นี้ ก่อนเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป ขณะนี้โครงการเดินหน้าตามแผนมั่นใจว่าโครงการจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
ด้านนายปัญญา ชูพานิชย์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) กล่าวว่า สำหรับร่างพ.ร.บ.SEC จะมีสิทธิประโยชน์คล้ายกับพระราชบัญญัติเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (พ.ร.บ.) อีอีซี เช่น สิทธิประโยชน์ทางภาษี,สัดส่วนการลงทุน โดยให้นักลงทุนต่างชาติสามารถครองสัดส่วนการลงทุนได้กว่า 51% ฯลฯ ขณะที่ความคืบหน้าการจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (EHIA) ที่ผ่านมาติดปัญหาเรื่องการเข้าพื้นที่ เนื่องจากเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 รวมทั้งการขอใบอนุญาตเข้าพื้นที่ ปัจจุบันได้มีการลงพื้นที่สำรวจแล้ว คาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จภายในปลายปี 2567
โดยในปีงบประมาณ 2568 สนข.เตรียมจ้างบริษัทที่ปรึกษาศึกษารายละเอียดโครงการแลนด์บริดจ์ เพื่อประกวดราคาในการคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุน คาดว่าจะดำเนินการเปิดประมูลได้ภายในปลายปี 2568 โดยจะแบ่งออกเป็น 3 ระยะ ดังนี้ ระยะที่ 1 สามารถรองรับปริมาณตู้สินค้าจำนวน 6 ล้านทีอียู เปิดให้บริการภายในปี 2573 ระยะที่ 2 สามารถรองรับปริมาณตู้สินค้าจำนวน 6 ล้านตู้ทีอียู เปิดให้บริการปี 2582 และระยะที่ 3 สามารถรองรับปริมาณตู้สินค้าจำนวน 8 ล้านตู้ทีอียู โดยการเปิดให้บริการระยะนี้จะต้องรอดูการเริ่มดำเนินการก่อสร้างทั้ง 2 ระยะก่อน ส่งผลให้ทั้งโครงการฯสามารถรองรับปริมาณได้ทั้งหมดฝั่งละ 20 ล้านตู้ทีอียู
สำหรับการเปิดรับฟังความเห็นในครั้งนี้พบว่ามีนักลงทุนกลุ่มสายการเดินเรือ,กลุ่มบริหารท่าเรือ ,กลุ่มการก่อสร้าง ฯลฯ ทั้งในประเทศและต่างประเทศให้ความสนใจกว่า 100 คน เช่น บริษัทดับลิวเอชเอ อินดัสเตรียล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ,สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย,สภาผู้ส่งออกสินค้าทางเรือ, สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ),บริษัท ไชน่า ฮาร์เบอร์ เอ็นจิเนียริ่งจำกัด ,บริษัทเอเวอร์กรีน คอนเทนเนอร์ เทอร์มินัล (ประเทศไทย ) จำกัด,บริษัทสยามพิวรรธน์จำกัด ,บมจ.ธนาคารกรุงไทย ,China energy international group ,Nippon Koei Co,Ltd.(Japan) ,Mitsubishi Company (Thailand),Bank of China,Embassy of India,Jica Thailand Office ฯลฯ
ทั้งนี้ พบว่าจากการประเมินมูลค่าลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเบื้องต้นที่ผู้ลงทุนต้องใช้ในการพัฒนาโครงการ มีมูลค่าลงทุนประมาณ 1.001 ล้านล้านบาท โดยแบ่งเป็น ท่าเรือฝั่งระนอง ประมาณ 330,810 ล้านบาท ท่าเรือฝั่งชุมพร ประมาณ 305,666 ล้านบาท นอกจากนี้โครงการแลนด์บริดจ์มีโครงสร้างพื้นฐานการเชื่อมต่อ ได้แก่ ทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองและทางรถไฟ รวมประมาณ 358,517 ล้านบาท (เป็นราคาประเมิน ณ ปี พ.ศ. 2566 โดยไม่ได้รวมเงินเฟ้อ) ซึ่งจากการประเมินอัตราผลตอบแทนภายในทางการเงิน (FIRR) ที่ผู้ลงทุนจะได้รับจากโครงการในเบื้องต้น เท่ากับ 8.62% (กรณียังไม่มีการกู้ยืม) โดยมีระยะเวลาคืนทุนปีที่ 24 แสดงให้เห็นว่าโครงการมีความคุ้มค่ากับการลงทุน.