“พาณิชย์” เผย “ญี่ปุ่น”จ่อลงทุนในไทยเพิ่ม เสริมศักยภาพ SMEs ดันสินค้าเกษตรโกอินเตอร์
“นภินทร ศรีสรรพางค์” รมช.พาณิชย์ เผย ไทยบรรลุข้อตกลงกับ องค์การส่งเสริมสินค้าญี่ปุ่น ประจำ กทม. หรือ JETRO สนับสนุนผู้ประกอบการไทย ทั้งด้านเทคโนโลยี และ ผลักดันสินค้าไปตีตลาด โกอินเตอร์
นายนภินทร ศรีสรรพางค์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวถึงแนวทางการสนับสนุนผู้ประกอบการไทยว่า ขณะนี้ กระทรวงพาณิชย์ มีนโยบายผลักดันศักยภาพของ SMEs และ ผู้ประกอบการไทย เพื่อเสริมสร้างสภาพแวดล้อมทางด้านเศรษฐกิจ การค้า และ การลงทุน โดยล่าสุด จากการที่ตนได้พบกับ นายคุโรดะ จุน ประธานองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น ประจำ กรุงเทพฯ หรือ JETRO มีผลการหารือที่เป็นประโยชน์กับประเทศไทย โดยทางญี่ปุ่นพร้อมสนับสนุนให้ไทยมีบทบาทนำในภูมิภาคอาเซียน และ ยังมีความสนใจที่จะลงทุนในประเทศไทยมากขึ้น ทั้งที่เป็นเอกชนรายใหญ่และเอกชนขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) รวมถึงสตาร์ตอัปของญี่ปุ่นที่จะเข้ามามีบทบาทช่วยพัฒนาเศรษฐกิจไทย
นอกจากนี้ ญี่ปุ่นพร้อมที่จะพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจการค้ากับไทยให้แน่นแฟ้น เช่น การเข้าร่วมงานแสดงสินค้านานาชาติในไทย การจัดสัมมนาให้ความรู้เรื่องการใช้ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ การแพร่ขยายอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง และการจัดอบรมด้านทรัพย์สินทางปัญญาให้กับบุคลากรทรัพย์สินทางปัญญาของไทย
นายนภินทร กล่าวอีกว่า ตนยังเตรียมผลักดันสินค้าเกษตรของไทยไปตลาดญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูก กล้วยหอมทอง โดยจัดหาบริษัทสตาร์ตอัปของญี่ปุ่น ที่มีเทคโนโลยีช่วยจัดเก็บข้อมูลและปรับปรุงการปลูกกล้วยหอมอย่างเป็นระบบและแม่นยำมาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและปริมาณผลผลิต รวมทั้งสร้างโอกาสในการส่งออกกล้วยหอมไทยไปตลาดญี่ปุ่น
ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์กับ JETRO กรุงเทพฯ ได้ตกลงที่จะร่วมกันจัดสัมมนาให้ความรู้กับผู้ประกอบการไทยและญี่ปุ่นที่อยู่ในประเทศไทย เพื่อส่งเสริมการใช้สิทธิประโยชน์จากความตกลงการค้าเสรี (FTA) ในการขยายการส่งออกไปญี่ปุ่น ซึ่งปัจจุบันมี FTA ร่วมกัน 3 ฉบับ ได้แก่ ความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น (JTEPA) ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจอาเซียน-ญี่ปุ่น (AJCEP) และ ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) โดยในช่วงครึ่งปี 2566 (ม.ค.-มิ.ย.) ผู้ส่งออกไทยขอใช้สิทธิประโยชน์ภายใต้ FTA ทั้ง 3 ฉบับ รวมกันถึง 77% ของมูลค่าการส่งออกสำหรับสินค้าที่ได้รับสิทธิประโยชน์ทั้งหมด หรือมูลค่า 3,602 ล้านดอลลาร์สหรัฐ.