เค.ซี. พร็อพเพอร์ตี้ ตอกย้ำความเป็นบริษัทพัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์แนวราบที่เน้นคุณภาพ ชู 5 กลยุทธ์พลิกฟื้นบริษัทแบบยั่งยืน ประกาศก้าวข้ามปัญหา สู่บริษัทอสังหาฯ ที่โปร่งใสหลังล้างขาดทุนหมด พร้อมเติบโตแบบก้าวกระโดด ตั้งเป้าปี 65 โต กว่า 100% หรือประมาณ 300 ลบ.

นายสันติ ปิยะทัต กรรมการผู้จัดการ บริษัท เค.ซี. พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ KC ผู้พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์แนวราบด้วยคุณภาพอย่างมั่นคงที่ก้าวสู่ปีที่ 40 เปิดเผยว่า หลังจากบริษัทฯ กลับเข้ามาซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์อีกครั้ง ตั้งแต่ 19 พฤษภาคม ในหมวดกลุ่มอสังหาฯ และก่อสร้างและได้รับการตอบรับจากนักลงทุนเป็นอย่างดี จากนี้ไป บริษัทฯ ได้วางกลยุทธ์ เพื่อแก้ไขและปรับปรุงจุดที่ยังไม่สมบูรณ์ให้ดียิ่งขึ้น โดยแบ่งกลยุทธ์ออกเป็น 5 ส่วน ได้แก่

1. ด้าน Product เพิ่ม Product line ใหม่ ในส่วนที่เป็นเชิงพาณิชย์ ได้แก่ อาคารพาณิชย์ โครงการ เค.ซี.สุวินทวงศ์ 2 เพื่อเติมเต็มหมวดหมู่ของสินค้าให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น

2. ด้าน Process ใน 2 ปีที่ผ่านมา ได้เห็นถึงปัญหาของความล่าช้าที่เกิดขึ้นในกระบวนการทำงานจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ Covid-19 และได้นำมาปรับปรุงเป็นกระบวนการ FAST process เพื่อทำให้การทำงานรวดเร็ว และถูกต้องมากยิ่งขึ้น

3. ด้านต้นทุน แนวโน้มปัญหาต้นทุนที่จะปรับตัวสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญปีนี้รวมถึงในอนาคต โดยเฉพาะต้นทุนค่าก่อสร้างที่เป็นหัวใจสำคัญของธุรกิจอสังหาฯ จึงเน้นควบคุมต้นทุนเชิงรุก ได้แก่การทำ VAVE การปรับปรุง Design เพื่อให้งานก่อสร้างรวดเร็วขึ้น และต้นทุนลดลง รวมถึงการพยายามใช้วัสดุร่วมกัน เพื่อให้เกิด Economy of scale ให้ได้มากที่สุด โดยยังรักษาคุณภาพของงานก่อสร้างที่มีมาตรฐานเป็นสำคัญ

4. ด้านการตลาด ปัจจุบันผู้คนส่วนใหญ่ใช้โทรศัพท์มือถือค้นหาข้อมูลเป็นหลักดังนั้นในปีนี้ และในอนาคต จะเพิ่มสัดส่วนทำการตลาด Online มากขึ้น เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น และตรงกลุ่มมากขึ้น

5. ด้านธุรกิจใหม่ จากการเป็นผู้พัฒนาโครงการอสังหาฯอยู่ในวงการมากกว่า 40 ปี ทำให้เห็นถึงปัญหาของลูกค้าในมุมของความต้องการด้านงานบริการเป็นที่มาของการพัฒนาธุรกิจที่จะให้บริการด้านงานซ่อมแซม ตกแต่ง ต่อเติม ฯลฯ

นายสันติ กล่าวต่อไปว่า สำหรับเป้าหมายทางธุรกิจในปี 2565 บริษัทได้ตั้งเป้ารายได้ไว้ที่ 300 ล้านบาท เติบโตขึ้นจากปีที่ผ่านมาถึง 2-3 เท่า ขณะนี้ เค.ซี. มียอดขายรอรับรู้รายได้ใน 5 โครงการเดิม มูลค่า 106 ล้านบาท ขณะที่ยอดขายคาดว่าจะเติบโตขึ้น 2-3 เท่า

กรรมการผู้จัดการ เค.ซี. พร็อพเพอร์ตี้ เพิ่มเติมว่า สิ่งที่ต้องทำเร่งด่วน คือ บริหารความสามารถโอนกรรมสิทธิ์ให้ลูกค้า เนื่องจากสถาบันการเงินเข้มงวดในการพิจารณาสินเชื่อ เนื่องจากลูกค้าที่ซื้อโครงการของ เค.ซี. เป็นอาชีพอิสระ ทำให้ธนาคารไม่ปล่อยกู้

“เราหาเครื่องมือทางการเงิน เริ่มจากให้ฝ่ายขายไปคุยกับลูกค้าก่อนล่วงหน้า 6 เดือน และตรวจประวัติลูกค้าอีก เพื่อป้องกันการก่อหนี้เพิ่มขึ้น”

สำหรับแนวทางการดำเนินธุรกิจของ เค.ซี. จากนี้ได้วางเป้าออกเป็นแนวทางแรก การบริหารที่ดินสะสม (แลนด์แบงก์) ที่มีอยู่ในโครงการเดิมประมาณ 4-5 โครงการ สามารถรองรับการพัฒนาโครงการได้ต่อเนื่องถึง 3 ปีจนปิดโครงการได้ ซึ่งที่ดินแต่ละแปลงในแต่ละโครงการเป็นที่ดินต้นทุนเดิมที่สามารถสร้างโครงการในราคาที่ไม่สูง สามารถตอบสนองต่อความต้องการซื้อของลูกค้าได้ในราคาที่เข้าถึงได้

แนวทางที่สอง เป็นการสร้างโอกาสการเติบโตให้ เค.ซี. กับการศึกษาโมเดลที่จะร่วมกับเจ้าของที่ดินในการร่วมกันพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย ในระดับพรีเมียม ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการเจรจาอยู่ 3-4 แปลงในการทำโครงการบ้านพรีเมียมในเมือง ราคาขายมีตั้งแต่ 20-50 ล้านบาท แต่ละโครงการจะมีมูลค่าเกินกว่า 1,000 ล้านบาท รวมมูลค่าโครงการประมาณ 5,000-6,000 ล้านบาท คาดว่าปลายปี 65 จะได้ข้อสรุปที่ชัดเจน 1 โครงการ มูลค่าในการพัฒนาโครงการไม่น้อยกว่า 1,000 ล้านบาท หรืออีกรูปแบบอาจจะเป็นการออกหุ้นเพิ่มทุน แปลงที่ดินมาเป็นค่าหุ้น โดยเจ้าของที่ดินเข้ามาถือหุ้น ซึ่งส่วนนี้ผู้ถือหุ้นเดิมยังคงสัดส่วนเท่าเดิม เป็นต้น

ดร.พรภัทร์ รอดโพธิ์ทอง บุญถนอม รองกรรมการผู้จัดการ สายงานสนับสนุนการปฏิบัติการ กล่าวถึงการขยายตลาดของ เค.ซี. ว่า ตลาดอสังหาฯ ในต่างจังหวัดยังมีความน่าสนใจ เพราะผู้คนในต่างจังหวัดก็มีความต้องการที่อยู่อาศัยในรูปแบบของโครงการจัดสรรมากขึ้น โดยเฉพาะจังหวัดที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ดีหรือมีโครงการขนาดใหญ่ที่รัฐเข้ามาลงทุน อย่างไรก็ตาม ปัจจัยเสี่ยงที่ต้องระวังคือนโยบายของสถาบันการเงินในการปล่อยสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยให้กับกลุ่มลูกค้าในต่างจังหวัด ที่จะมีเกณฑ์การปล่อยสินเชื่อที่เข้มงวดไม่แพ้ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล แต่กำลังซื้อของลูกค้าส่วนใหญ่จะต่ำกว่า ดังนั้นการวางแผนโครงการ หรือการเลือก Product จึงต้องวิเคราะห์อย่างรอบคอบ.