ธุรกิจตั้งใหม่ ต.ค. 68 แตะ 7,165 ราย–ต่างชาติลงทุนไทย 10 ด.พุ่ง 2.76 แสนล้าน โต 72%

กรมพัฒนาธุรกิจการค้า เผย จดทะเบียนใหม่สะสม 10 เดือนรวม 74,510 ราย แม้เศรษฐกิจชะลอแต่ทุนเริ่มฟื้นตัว การลงทุนต่างชาติเร่งตัว ญี่ปุ่น–สหรัฐฯ–สิงคโปร์ ยังครองแชมป์ลงทุนไทย

นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กรมพัฒนาธุรกิจการค้าได้วิเคราะห์สถานการณ์การจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใหม่เดือนตุลาคม 2568 พบว่า มีธุรกิจจัดตั้งใหม่ 7,165 ราย เมื่อเทียบแบบเดือนต่อเดือน (MoM) กับเดือนกันยายน 2568 (8,156 ราย) ลดลง 991 ราย คิดเป็น 12.15% และเมื่อเทียบแบบปีต่อปี (YoY) กับเดือนตุลาคม 2567 (7,267 ราย) ลดลง 102 ราย คิดเป็น 1.40%
ขณะที่ทุนจดทะเบียนอยู่ที่ 21,778 ล้านบาท เมื่อเทียบแบบเดือนต่อเดือน (MoM) กับเดือนกันยายน 2568 (19,867 ล้านบาท) เพิ่มขึ้น 1,910 ล้านบาท คิดเป็น 9.62% และเมื่อเทียบแบบปีต่อปี (YoY) กับเดือนตุลาคม 2567 (30,149 ล้านบาท) ลดลง 8,371 ล้านบาท คิดเป็น 27.77%

จากสถิติข้างต้นสะท้อนให้เห็นว่า เศรษฐกิจโดยรวมอยู่ในภาวะชะลอตัว ทั้งนี้ เมื่อวิเคราะห์อัตราการเติบโตของการจัดตั้งธุรกิจใหม่ พบว่า มี 3 ประเภทธุรกิจที่ขยายตัวอย่างน่าสนใจเมื่อเปรียบเทียบกับตุลาคม 2567 (YoY) คือ 1) ธุรกิจโรงแรม รีสอร์ทและห้องชุด เพิ่มขึ้น 43 ราย คิดเป็น 62.32% ทุนจดทะเบียน เพิ่มขึ้น 288 ล้านบาท 2) ธุรกิจขนส่งและขนถ่ายสินค้า รวมถึงคนโดยสาร เพิ่มขึ้น 43 ราย คิดเป็น 36.44% ทุนจดทะเบียนลดลง 21.59 ล้านบาท และ 3) ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป เพิ่มขึ้น 52 ราย คิดเป็น 9.08% ทุนจดทะเบียนเพิ่มขึ้น 413 ล้านบาท

การจัดตั้งใหม่ช่วง 10 เดือนของปี 2568 (มกราคม-ตุลาคม) มีจำนวน 74,510 ราย เมื่อเทียบกับช่วง 10 เดือนของปี 2567 (76,953 ราย) ลดลง 2,443 ราย คิดเป็น 3.17%
ขณะที่ทุนจดทะเบียนตั้งใหม่ 10 เดือน สะสมอยู่ที่ 235,992 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 (238,630 ล้านบาท) ลดลง 2,639 ล้านบาท คิดเป็น 1.11%
การจดทะเบียนเลิกประกอบกิจการเดือนตุลาคม 2568 มีจำนวน 2,298 ราย เมื่อเทียบแบบเดือนต่อเดือน (MoM) กับเดือนกันยายน 2568 (2,150 ราย) เพิ่มขึ้น 148 ราย คิดเป็น 6.88% และเมื่อเทียบแบบปีต่อปี (YoY) กับเดือนตุลาคม 2567 (2,516 ราย) ลดลง 218 ราย คิดเป็น 8.66%

ด้านทุนจดทะเบียนเลิก อยู่ที่ 9,228 ล้านบาท เมื่อเทียบแบบเดือนต่อเดือน (MoM) กับเดือนกันยายน 2568 (5,556 ล้านบาท) เพิ่มขึ้น 3,672 ล้านบาท คิดเป็น 66.08% และเมื่อเทียบแบบปีต่อปี (YoY) กับเดือนตุลาคม 2567 (9,899 ล้านบาท) ลดลง 671 ล้านบาท คิดเป็น 6.78%
การจดทะเบียนเลิกช่วง 10 เดือนของปี 2568 (มกราคม-ตุลาคม) มีจำนวน 14,177 ราย ลดลง 585 ราย คิดเป็น 3.96% เมื่อเทียบกับช่วง 10 เดือนของปี 2567 (14,762 ราย)
ทุนจดทะเบียนเลิก 10 เดือน สะสมอยู่ที่ 77,818 ล้านบาท ลดลง 48,086 ล้านบาท คิดเป็น 38.19% เมื่อเทียบอัตราการจัดตั้งใหม่ต่อการจดเลิกธุรกิจเฉลี่ยอยู่ที่ 5 ต่อ 1 ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ย 5 ปี ย้อนหลัง (2563-2567) อยู่ที่ 6 ต่อ 1
ปัจจุบัน (ข้อมูล ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2568) มีธุรกิจที่จดทะเบียนนิติบุคคลรวมทั้งสิ้น 2,039,339 ราย ทุนจดทะเบียนรวม 31.39 ล้านล้านบาท โดยมีนิติบุคคลดำเนินกิจการอยู่ 979,928 ราย ทุนจดทะเบียนรวม 23.04 ล้านล้านบาท แบ่งเป็นบริษัทจำกัด 777,515 ราย คิดเป็น 79.35% ของจำนวนนิติบุคคลที่ดำเนินกิจการอยู่ทั้งหมด ทุนจดทะเบียนรวม 17.25 ล้านล้านบาท ห้างหุ้นส่วนจำกัดและห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล 200,911 ราย คิดเป็น 20.50% ของจำนวนนิติบุคคลที่ดำเนินกิจการอยู่ทั้งหมด ทุนจดทะเบียนรวม 0.44 ล้านล้านบาท และบริษัทมหาชนจำกัด 1,502 ราย คิดเป็น 0.15% ของจำนวนนิติบุคคลที่ดำเนินกิจการอยู่ทั้งหมด ทุนจดทะเบียนรวม 5.35 ล้านล้านบาท
สำหรับกลุ่มนิติบุคคลที่มีสัดส่วนการจดทะเบียนมากที่สุดคือ กลุ่มบริการ มีจำนวน 531,803 ราย ทุนจดทะเบียน 13.32 ล้านล้านบาท รองลงมาคือ กลุ่มค้าส่ง/ค้าปลีก 321,202 ราย ทุนจดทะเบียน 2.62 ล้านล้านบาท และกลุ่มผลิต 126,923 ราย ทุนจดทะเบียน 7.09 ล้านล้านบาท คิดเป็น 54.27%, 32.78% และ 12.95% ของจำนวนนิติบุคคลที่ดำเนินกิจการอยู่ตามลำดับ
การลงทุนของชาวต่างชาติในไทยประจำเดือนตุลาคม 2568 และ 10 เดือนของปี 2568 การอนุญาตให้คนต่างชาติเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทย ภายใต้พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 (เฉพาะธุรกิจที่กำหนดให้ต้องขออนุญาต) เดือนตุลาคม 2568 มีการอนุญาตให้คนต่างชาติเข้ามาประกอบธุรกิจในประเทศไทย 99 ราย เป็นการลงทุนผ่านช่องทางการขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว 27 ราย และการขอหนังสือรับรองการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว (ผ่านช่องทางการลงทุนตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน หรือได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และการใช้สิทธิตามสนธิสัญญาหรือความตกลงระหว่างประเทศ) 72 ราย เงินลงทุนรวมทั้งสิ้น 23,621 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นคนต่างชาติจากสิงคโปร์ จีน และญี่ปุ่น ตามลำดับ
สำหรับช่วง 10 เดือนของปี 2568 (มกราคม-ตุลาคม) มีจำนวน 869 ราย โดยเป็นการลงทุนผ่านช่องทางการขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว 228 ราย และการขอหนังสือรับรองการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว (ผ่านช่องทางการลงทุนตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน หรือได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และการใช้สิทธิตามสนธิสัญญาหรือความตกลงระหว่างประเทศ) 641 ราย เงินลงทุนรวมทั้งสิ้น 276,736 ล้านบาท โดยการอนุญาตฯ ในช่วง 10 เดือนของปี 2568 (มกราคม-ตุลาคม) มีจำนวนเพิ่มขึ้นจำนวน 83 ราย (11%) เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 (786 ราย) และมูลค่าการลงทุนเพิ่มขึ้น 115,567 ล้านบาท (72%) เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 (161,169 ล้านบาท)
ประเทศที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทยสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ 1) ญี่ปุ่น 158 ราย คิดเป็น 18% ของธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 78,285 ล้านบาท 2) สหรัฐอเมริกา 127 ราย คิดเป็น 15% ของธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 4,830 ล้านบาท 3) สิงคโปร์ 126 ราย คิดเป็น 14% ของธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 92,318 ล้านบาท 4) จีน 116 ราย คิดเป็น 13% ของธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 25,404 ล้านบาท 5) ฮ่องกง 93 ราย คิดเป็น 11% ของธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 13,198 ล้านบาท และประเทศอื่นๆ 249 ราย คิดเป็น 29% ของธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 62,701 ล้านบาท
การลงทุนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor: EEC) ช่วง 10 เดือนของปี 2568 (มกราคม-ตุลาคม) ภายใต้พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 มีจำนวน 253 ราย คิดเป็น 29% ของนักลงทุนต่างชาติในไทย เพิ่มขึ้น 2 ราย จากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 (251 ราย) คิดเป็น 1% มูลค่าการลงทุนในพื้นที่ EEC จำนวน 90,791 ล้านบาท คิดเป็น 33% ของเงินลงทุนทั้งหมด เป็นนักลงทุนจากประเทศจีน 65 ราย เงินลงทุน 17,882 ล้านบาท ญี่ปุ่น 57 ราย เงินลงทุน 30,369 ล้านบาท สิงคโปร์ 35 ราย เงินลงทุน 20,106 ล้านบาท และประเทศอื่นๆ 96 ราย เงินลงทุน 22,434 ล้านบาท” อธิบดีพูนพงษ์ฯ กล่าวทิ้งท้าย.






