PSGC โชว์ผลประกอบการไตรมาส 3/2568 โตแรง กำไรพุ่งเกือบ 9 เท่า จากความคืบหน้าโครงการก่อสร้างและสภาพอัตราแลกเปลี่ยนที่มีเสถียรภาพขึ้น บอร์ดไฟเขียวลงทุนเชิงยุทธศาสตร์ในเวียดนาม เข้าถือหุ้น Nam Tien 64% รุกธุรกิจ! “เหมือง–ทรัพยากร–โลจิสติกส์” ครอบคลุมห่วงโซ่อุปทานพลังงานในภูมิภาค

บริษัท พีเอสจี คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ PSGC รายงาน ผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2568 ว่า บริษัทฯทำกำไรสุทธิ 187.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 887.9% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ปัจจัยสำคัญมาจากความคืบหน้าของงานก่อสร้างภายใต้โครงการที่บริษัทรับดำเนินการ รวมถึง ทิศทางอัตราแลกเปลี่ยนที่กลับมามีเสถียรภาพมากขึ้น ส่งผลให้รายได้และการรับรู้กำไรดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง พร้อมกันนี้ บริษัทประกาศเดินหน้ากลยุทธ์ขยายสู่ธุรกิจทรัพยากรในระดับภูมิภาค หลังคณะกรรมการอนุมัติการเข้าถือหุ้นร้อยละ 64 ในบริษัท Nam Tien Limited Liabilities Company ในสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม

สำหรับ ผลประกอบการในไตรมาสที่ 3/2568 PSGC มีรายได้รวม 773.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.4% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 5.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการเร่งรัดดำเนินโครงการก่อสร้างและการปรับตัวดีขึ้นของภาวะค่าเงิน

ส่วนผลประกอบการในช่วง 9 เดือนแรกของปี บริษัทฯมีรายได้รวม 2,081.6 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 305.5 ล้านบาท สะท้อนผลการดำเนินงานที่เริ่มกลับสู่สมดุล หลังปีที่ผ่านมามีโครงการอัตรากำไรสูงเป็นสัดส่วนมาก ทั้งนี้ บริษัทฯระบุว่า มีมูลค่างานในมือกว่า 3,900 ล้านบาท และคาดว่าจะสามารถรับรู้รายได้ในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้อีกประมาณ 1,000 ล้านบาท

ด้าน กลยุทธ์การขยายธุรกิจ คณะกรรมการบริษัทมีมติอนุมัติเงินลงทุน 23 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 750.21 ล้านบาท เพื่อเข้าถือหุ้น 64% ใน Nam Tien โดยคาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จภายในไตรมาส 1 ปี 2569 หลังการเข้าซื้อกิจการ Nam Tien จะถูกบันทึกเป็นบริษัทย่อยของ PSGC โดยทันที

โครงสร้างธุรกิจของ Nam Tien ครอบคลุมห่วงโซ่อุปทานด้านทรัพยากรพลังงานแบบครบวงจร ตั้งแต่งานเหมือง การขนส่งถ่านหินข้ามพรมแดนระหว่าง สปป.ลาว–เวียดนาม ไปจนถึงการกระจายสินค้าในตลาดอุตสาหกรรมสำคัญในภูมิภาค

อีกทั้ง Nam Tien ได้รับสิทธิ์แต่เพียงผู้เดียวในการดำเนินงานและรับซื้อถ่านหินจากบริษัท Xekong Power Plant Limited (XPPL) ซึ่งเป็นสัมปทานถ่านหินที่ใหญ่ที่สุดใน สปป.ลาว โดยมีปริมาณสำรองมากกว่า 600 ล้านตัน อีกทั้งยังได้รับสิทธิ์จำหน่ายถ่านหินของ XPPL ใน สปป.ลาว และเวียดนาม ปัจจุบัน ความต้องการถ่านหินใน สปป.ลาว อยู่ที่ประมาณ 0.5–1 ล้านตันต่อปี ขณะที่ เวียดนามมีความต้องการนำเข้าถ่านหินราว 30–35 ล้านตันต่อปี

เมื่อรวมศักยภาพของ Nam Tien กับเงินทุนและโครงสร้างโลจิสติกส์สนับสนุนจาก PSGC บริษัทคาดว่าปริมาณการผลิตและจำหน่ายจะขยายได้ถึง 6–10 ล้านตันต่อปี สร้างรายได้ในช่วง 740–1,130 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 25,000–38,000 ล้านบาท ภายในปี 2573 ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ตลาดและปริมาณการส่งมอบจริง

ด้าน บทบาทในระบบพลังงานของภูมิภาค PSGC มองว่า ตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังต้องพึ่งพาไฟฟ้าฐาน (baseload) ในระดับสูง ขณะที่โครงสร้างพื้นฐานด้านไฟฟ้าและพลังงานหมุนเวียนยังไม่สามารถรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นของภาคอุตสาหกรรมได้อย่างเต็มที่ ทำให้ถ่านหินยังคงเป็นเชื้อเพลิงช่วงเปลี่ยนผ่านที่มีบทบาทสำคัญต่อเสถียรภาพระบบไฟฟ้าและความมั่นคงด้านพลังงานของภูมิภาค

ดังนั้น การลงทุนใน Nam Tien จึงเป็นการเข้าไปมีส่วนร่วมในห่วงโซ่อุปทานพลังงานยุทธศาสตร์ ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ รวมถึง ตอบโจทย์ความต้องการถ่านหินในตลาดอุตสาหกรรมหลักของลาวและเวียดนาม

นายเดวิด แวน ดาว ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร PSGC กล่าวถึง ดีลการลงทุนครั้งนี้ ว่า นับเป็นก้าวสำคัญต่อการเปลี่ยนผ่านของบริษัทจากรายได้โครงการระยะสั้น ไปสู่รายได้ประจำที่มีเสถียรภาพมากขึ้นในระยะยาว การเข้าซื้อ Nam Tien ช่วยเพิ่มขนาดธุรกิจทันที และเปิดช่องทางสู่ตลาดพลังงานที่ยังมีความต้องการถ่านหินในระดับสูง ทั้งในช่วงทศวรรษปัจจุบันและต่อเนื่องในอนาคต

PSGC ยังเตรียมนำเทคโนโลยีด้านการคัดแยกและปรับปรุงคุณภาพถ่านหิน รวมถึงการยกระดับประสิทธิภาพกระบวนการผลิต เพื่อลดมลพิษและสอดรับกับมาตรฐานอุตสาหกรรมที่พัฒนาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็น ส่วนหนึ่งของกลยุทธ์การส่งมอบเชื้อเพลิงอย่างมีความรับผิดชอบ

ทั้งนี้ บริษัทฯมองว่าการลงทุนใน Nam Tien จะช่วยให้โครงสร้างรายได้ในอนาคตมีความหลากหลายและเสถียรมากขึ้น สามารถคาดการณ์ผลประกอบการได้ชัดเจน ขณะเดียวกัน ยังช่วยต่อยอดจากมูลค่างานก่อสร้างในมือและการขยายเข้าสู่ธุรกิจทรัพยากรเพื่อสร้างการเติบโตของรายได้อย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2569 เป็นต้นไป.