‘IRPC’ เผยผลการดำเนินงานไตรมาส 2 ปีนี้ มีรายได้ ลดลง

นายเทอดเกียรติ พร้อมมูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC เปิดเผยว่า ในไตรมาส 2/2568 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายสุทธิ 56,802 ล้านบาท ลดลง 5,422 ล้านบาท หรือร้อยละ 9 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน โดยมีสาเหตุหลักจากราคาขายเฉลี่ยลดลงร้อยละ 10 ตามราคาน้ำมันดิบที่ปรับลดลง ขณะที่ปริมาณขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 1 สำหรับธุรกิจปิโตรเลียมมีกำไรขั้นต้นจากการกลั่นตามราคาตลาด (Market Gross Refining Margin: Market GRM) ที่เพิ่มขึ้นจากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมส่วนใหญ่ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับอิหร่าน และความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ตามฤดูกาล
นอกจากนี้ ธุรกิจปิโตรเคมี มีกำไรขั้นต้นจากการผลิตตามราคาตลาดของกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมี (Market Product to Feed: Market PTF) ที่เพิ่มขึ้น โดยหลักจากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีในกลุ่มโอเลฟินส์ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากต้นทุนราคาวัตถุดิบ ปรับตัวลดลงตามราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลดลง
ในขณะที่กลุ่มธุรกิจสาธารณูปโภคมีกำไรขั้นต้นค่อนข้างคงที่จากการขายไฟฟ้าและไอน้ำ ส่งผลให้บริษัทฯ มีกำไรขั้นต้นจากการผลิตตามราคาตลาด (Market GIM) อยู่ที่ 5,219 ล้านบาท หรือ 8.41 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้นร้อยละ 34 จากไตรมาส 1/2568
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์น้ำมันดิบในไตรมาส 2/2568 มีความผันผวนจากปัจจัยหลายประการ โดยปัจจัยที่กดดันราคานั้น มีสาเหตุหลักมาจากมาตรการทางภาษีของสหรัฐอเมริกาต่อประเทศคู่ค้า และการปรับเพิ่มปริมาณการผลิตโดยสมัครใจของโอเปกและพันธมิตร แม้ว่ามีปัจจัยสนับสนุนราคาน้ำมันดิบจากสถานการณ์ความขัดแย้งในประเทศแถบตะวันออกกลาง ซึ่งส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบดูไบปรับตัวลดลงจากไตรมาสก่อน ทำให้เกิดขาดทุนจากสต็อกน้ำมัน 2,503 ล้านบาท หรือ 4.03 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล
ขณะที่ บริษัทฯ บันทึกการกลับรายการ ปรับลดมูลค่าสินค้าคงเหลือให้เท่ากับมูลค่าสุทธิที่ได้รับ (กลับรายการ NRV) 343 ล้านบาท หรือ 0.55 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล และมีกำไรจากการบริหารความเสี่ยงน้ำมันที่เกิดขึ้นจริง (Realized Oil Hedging) 141 ล้านบาท หรือ 0.23 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จากรายการดังกล่าว บริษัทฯ บันทึก Net Inventory Loss รวม 2,019 ล้านบาท หรือ 3.25 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ส่งผลให้บริษัทฯ มีกำไรขั้นต้นจากการผลิตทางบัญชี (Accounting GIM) จำนวน 3,200 ล้านบาท หรือ 5.16 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ลดลงร้อยละ 29 เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/2568 จึงทำให้ บริษัทฯ มีกำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) จำนวน 223 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 86 เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/2568
โดยในไตรมาส 2/2568 บริษัทฯ บันทึกต้นทุนทางการเงินสุทธิจำนวน 619 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 5 จากไตรมาสก่อน อีกทั้ง มีขาดทุนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริงจากการบริหารความเสี่ยงน้ำมัน 250 ล้านบาท เนื่องจากส่วนต่างของราคาผลิตภัณฑ์ลดลง เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/2568 ที่มี ผลกำไร 170 ล้านบาท จากปัจจัยที่กล่าวข้างต้น ส่งผลให้ ในไตรมาส 2/2568 บริษัทฯ บันทึกผลการดำเนินงานขาดทุนสุทธิ 2,132 ล้านบาท มากกว่าไตรมาส 1/2568 ที่ร้อยละ 77
สำหรับแนวโน้มสถานการณ์ตลาดน้ำมันดิบในไตรมาส 3/2568 คาดว่าความต้องการใช้น้ำมันจะมีปัจจัยสนับสนุนตามฤดูกาลจากการเดินทางในช่วงฤดูร้อนของประเทศแถบทวีปอเมริกาเหนือและทวีปยุโรป รวมถึงการผลิตไฟฟ้าในช่วงฤดูร้อนของประเทศในภูมิภาคตะวันออกกลาง อย่างไรก็ตาม คาดว่าตลาดน้ำมันดิบจะมีปัจจัยกดดันหลักจากมาตรการทางด้านภาษีของสหรัฐอเมริกาต่อประเทศคู่ค้า รวมถึงการปรับเพิ่มการผลิตของโอเปกพลัส ทั้งนี้ คาดว่าสถานการณ์ความขัดแย้งทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ จะยังคงสร้างความไม่แน่นอนในตลาดน้ำมันดิบ
ขณะที่สถานการณ์ตลาดปิโตรเคมี ตลาดยังคงเผชิญแรงกดดันจากปัจจัยภายนอกซึ่งเป็นประเด็นที่ต้องติดตาม อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะนโยบาย Reciprocal Tariffs ของสหรัฐอเมริกา ส่งผลให้ต้นทุนการนำเข้าและการส่งออกสินค้า ปิโตรเคมีในหลายประเทศมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นและอาจจำกัดความต้องการซื้อ จากทั้งผู้ซื้อเม็ดและผู้ผลิตสินค้าปลายทาง ขณะเดียวกันด้านอุปทานยังคงได้รับแรงกดดันจากกำลังการผลิตใหม่ที่เพิ่มขึ้นโดยเฉพาะจากจีนอาจส่งผลให้ราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีโดยรวมมีแนวโน้มอ่อนตัวลง อย่างไรก็ดี ต้นทุนวัตถุดิบมีแนวโน้มปรับตัวลดลง ตามราคาน้ำมันดิบที่มีแนวโน้มปรับลดลง หลังจากโอเปกพลัสประกาศเพิ่มกำลังการผลิตในเดือนสิงหาคม ประกอบกับได้รับแรงสนับสนุนบางส่วนจากการเข้าสู่ช่วงฤดูการผลิตของธุรกิจปิโตรเคมี
ทั้งนี้ บริษัทฯ ยังคงดำเนินธุรกิจภายใต้หลักความรับผิดชอบต่อสังคมอย่างต่อเนื่อง โดยร่วมกับกลุ่ม ปตท. สนับสนุนน้ำดื่ม IRPC ให้แก่ผู้ประสบเหตุความไม่สงบบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งสะท้อนถึงเจตนารมณ์ของบริษัทฯ และกลุ่มปตท. ในการเป็นส่วนหนึ่งของการบรรเทาความเดือดร้อนและเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับสังคมและชุมชนในยามวิกฤต.
*แนวโน้มสถานการณ์ตลาดน้ำมันดิบและตลาดปิโตรเคมี ในไตรมาส 3/2568
สถานการณ์ตลาดน้ำมันดิบ คาดว่าความต้องการใช้น้ำมันจะมีปัจจัยสนับสนุนตามฤดูกาลจากการเดินทางในช่วงฤดูร้อนของประเทศแถบทวีปอเมริกาเหนือและทวีปยุโรป รวมถึงการผลิตไฟฟ้าในช่วงฤดูร้อนของประเทศในภูมิภาคตะวันออกกลาง อย่างไรก็ตาม คาดว่าตลาดน้ำมันดิบจะมีปัจจัยกดดันหลักจากมาตรการทางด้านภาษีของสหรัฐอเมริกาต่อประเทศคู่ค้า รวมถึงการปรับเพิ่มการผลิตของโอเปกพลัส ทั้งนี้ คาดว่าสถานการณ์ความขัดแย้งทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ จะยังคงสร้างความไม่แน่นอนในตลาดน้ำมันดิบ
สถานการณ์ตลาดปิโตรเคมี ตลาดยังคงเผชิญแรงกดดันจากปัจจัยภายนอกซึ่งเป็นประเด็นที่ต้องติดตาม อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะนโยบาย Reciprocal Tariffs ของสหรัฐอเมริกา ส่งผลให้ต้นทุนการนำเข้าและการส่งออกสินค้า ปิโตรเคมีในหลายประเทศมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นและอาจจำกัดความต้องการซื้อ จากทั้งผู้ซื้อเม็ดและผู้ผลิตสินค้าปลายทาง ขณะเดียวกันด้านอุปทานยังคงได้รับแรงกดดันจากกำลังการผลิตใหม่ที่เพิ่มขึ้นโดยเฉพาะจากจีนอาจส่งผลให้ราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีโดยรวมมีแนวโน้มอ่อนตัวลง อย่างไรก็ดี ต้นทุนวัตถุดิบมีแนวโน้มปรับตัวลดลง ตามราคาน้ำมันดิบที่มีแนวโน้มปรับลดลง หลังจากโอเปกพลัสประกาศเพิ่มกำลังการผลิตในเดือนสิงหาคม ประกอบกับได้รับแรงสนับสนุนบางส่วนจากการเข้าสู่ช่วงฤดูการผลิตของธุรกิจปิโตรเคมี
ทั้งนี้ บริษัทฯ ยังคงดำเนินธุรกิจภายใต้หลักความรับผิดชอบต่อสังคมอย่างต่อเนื่อง โดยร่วมกับกลุ่ม ปตท. สนับสนุนน้ำดื่ม IRPC ให้แก่ผู้ประสบเหตุความไม่สงบบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งสะท้อนถึงเจตนารมณ์ของบริษัทฯ และกลุ่มปตท. ในการเป็นส่วนหนึ่งของการบรรเทาความเดือดร้อนและเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับสังคมและชุมชนในยามวิกฤต