คลังเร่ง ธอส. ปล่อยกู้ใหม่ 1.5 แสนลบ. กระตุ้นเศรษฐกิจ – จ่อผุดโครงการ ‘กระบะเก่าแลกใหม่’ ดันเข้า ครม.ไม่เกินสัปดาห์หน้า

“รองนายกฯและรมว.คลัง” มอบนโยบาย ธอส. มุ่งปล่อยสินเชื่อใหม่ครึ่งปีหลัง อัดเม็ดเงินลงสู่ระบบเศรษฐกิจกว่า 1.5 แสนล้านบาท หวังกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ หนุนการจ้างงานและธุรกิจเกี่ยวเนื่องเติบโตเพิ่มขึ้น เผย! รัฐบาลพร้อมแก้หนี้สินภาคครัวเรือน จ่อใช้มาตรการภาษีผุดโครงการ “รถกระบะเก่าแลกใหม่” ดึง บสย.ร่วมค้ำเงินกู้ จ่อชงเข้า ครม.ไม่เกินสัปดาห์หน้า ด้าน เอ็มดี.ธอส. ขานรับเต็มที่ เดินหน้า 4 มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ย้ำ! ไม่เน้นเป้าหมายทำกำไรสูงสุด แต่มุ่งดำเนินการตามพันธกิจ “ทำให้คนไทยมีบ้าน”

นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง กล่าวภายหลังเดินทางมาตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายให้กับธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ว่า ธอส.ถือเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจผ่านภาคอสังหาริมทรัพย์ โดยตนได้มอบหมายให้ คณะผู้บริหาร ภายใต้การนำของ นายกมลภพ วีระพละ กรรมการผู้จัดการฯ ได้เร่งรัดในการปล่อยสินเชื่อใหม่ในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 โดยมีเป้าหมายที่จะอัดเม็ดเงินลงสู่ระบบเศรษฐกิจอีกกว่า 150,000 ล้านบาท เพื่อกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์เติบโต ด้วยเชื่อว่า สิ่งนี้จะส่งอานิสงส์บวกต่อการจ้างงานและธุรกิจเกี่ยวเนื่องขยายตัวเพิ่มขึ้น พร้อมเดินหน้ารักษาบ้านให้คนไทย จัดทำมาตรการช่วยเหลือลูกค้าที่ประสบปัญหาด้านรายได้ต่อเนื่อง หลังประสบความสำเร็จรักษาบ้านให้คนไทยแล้วกว่า 373,000 บัญชี

สำหรับแนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้สินภาคครัวเรือนในส่วนของภาคอสังหาริมทรัพย์ ที่พบว่าปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 1.2 ล้านล้านบาทนั้น ถือว่ามีการปรับตัวลดลงเล็กน้อย ด้วยเหตุผล 2 ประการ คือ 1.ธอส. มีนโยบายที่จะเปิดโอกาสให้ผู้ที่ยังไม่เป็นหนี้เสีย สามารถปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ซึ่งถือเป็นการตัดไฟแต่ต้นลมก่อน และ 2.ส่วนหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ภาพรวมมีรวมกันราว 5 ล้านบัญชี ส่วนใหญ่เป็นยอดหนี้ต่อราย ต่ำกว่า 1 แสนบาท และมีอยู่ราวม 66% หรือประมาณ 3 ล้านบัญชี ซึ่งได้รับการช่วยเหลือผ่าน มาตรการ “คุณสู้เราช่วย” ที่พบว่า ยังมีปัญหาติดขัดสำหรับลูกค้าในโครงการฯ ดังนั้น ตนจึงเตรียมจะเสนอเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ภายในสัปดาห์นี้ หรือไม่เกินสัปดาห์หน้า เพื่อขยายระยะเวลาในการผ่อนชำระหนี้ให้น้อยลง และมีระยะเวลายาวนานขึ้น โดยปรับขยายเกณฑ์ “คุณสู้เราช่วย” ให้ครบคลุมมากขึ้น เพื่อสามารถแก้หนี้ครัวเรือน ที่ยังติดค้างอยู่ได้มากขึ้น

“หลังจากได้ดำเนิน มาตรการ “คุณสู้เราช่วย” ผ่านไปแล้ว กระทรวงการคลังมีแนวคิดในการแก้ไขปัญหาหนี้เพิ่มเติม ในส่วนของลูกหนี้ในกลุ่ม Non-Bank โดยเฉพาะ สินเชื่อบัตรเครดิตและสินเชื่อรถยนต์ เป็นลำดับต่อไป โดยในส่วนของ สินเชื่อรถยนต์ ผมมีแนวคิดที่จะนำมาตรการภาษีมาใช้เพื่อเป็นแรงจูงใจให้เจ้าของรถกระบะเก่าอายุ 20-25 ปี ที่มีปัญหาเรื่องการปล่อยมลพิษเยอะ ได้เข้ามาแลกเป็นรถกระบะใหม่ (“รถเก่าแลกรถใหม่”) โดยจะได้รับส่วนลดทางภาษี เพื่อเป็นการกระตุ้นยอดขายรถยนต์ และช่วยเหลืออุตสาหกรรมผลิตรถยนต์ในประเทศ ซึ่งได้เริ่มหารือกับหน่วยงานและผู้ที่เกี่ยวข้องแล้ว และจะใช้กลไกของ บสย. (บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อย) ในการเข้ามาค้ำประกันเงินกู้ใหม่ ทั้งนี้ หากมีความคืบหน้า จะได้แจ้งให้ทราบในโอกาสต่อไป” รมว.คลัง ระบุ

ด้าน นายกมลภพ กล่าวว่า ตามที่ มีนโยบายให้สถาบันการเงินของรัฐปรับกลยุทธ์การดำเนินงาน โดยลดเป้าหมายกำไรจากการทำธุรกิจ เพื่อจัดสรรเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจและช่วยแก้ไขปัญหาหนี้ให้กับประชาชน ธอส. จึงได้จัด 4 มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ประกอบด้วย (1) สินเชื่อบ้าน Premier Home สำหรับลูกค้าที่มีกำลังซื้อที่อยู่อาศัยวงเงินให้กู้ตั้งแต่ 7 ล้านบาทขึ้นไป อัตราดอกเบี้ยปีแรกเริ่มต้นเพียง 1.79% ต่อปี (2) สินเชื่อซ่อม – แต่ง และสินเชื่อซ่อม – แต่ง Plus สำหรับลูกค้าที่ต้องการกู้เพิ่มเพื่อปรับปรุง ต่อเติม ซ่อมแซม หรือซื้ออุปกรณ์และสิ่งอำนวยความสะดวกที่เกี่ยวเนื่องเพื่อประโยชน์ในการอยู่อาศัย วงเงินกู้สูงสุด 300,000 บาท โดยวงเงิน 100,000 บาทแรก อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้นเพียง 1.00% ต่อปี ผ่าน “สินเชื่อซ่อม – แต่ง” และอัตราดอกเบี้ย 1.99 % ต่อปี ในวงเงิน 200,000 บาทถัดมา ผ่าน “สินเชื่อซ่อม – แต่ง Plus” (3) สินเชื่อ Pre Finance Premium สำหรับผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์คุณสมบัติตามที่ธนาคารกำหนด ในพื้นที่ทำเลที่มีศักยภาพ 27 จังหวัด อัตราดอกเบี้ยปีแรก 3.90% ต่อปี และ (4) มาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจ (DC3) กรอบวงเงิน 30,000 ล้านบาท สำหรับลูกค้ากลุ่มที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ (SM) ที่กู้เงินกับธนาคารมาแล้วไม่น้อยกว่า 1 ปี ได้รับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยและเงินงวด นานสูงสุด 1 ปี โดยอัตราดอกเบี้ย 6 เดือนแรก เพียง 0% ต่อปี ผ่อนชำระเงินงวดเพียง 1,000 บาทต่อเดือน มีลูกค้าลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการแล้วกว่า 4,000 บัญชี คิดเป็นวงเงินต้นคงเหลือกว่า 5,000 ล้านบาท ซึ่งจากการดำเนินการตามนโยบายของกระทรวงการคลังในครั้งนี้ ได้มีส่วนช่วยเหลือและทำให้คนไทยเข้าถึงสินเชื่อที่อยู่อาศัยเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2568 ธอส. สามารถปล่อยสินเชื่อใหม่ได้กว่า 100,000 ล้านบาท

อย่างไรก็ตามธนาคารฯ ยังคงเดินหน้าเป็นกลไกหลักของภาครัฐในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ตั้งเป้าปล่อยสินเชื่อใหม่ช่วงครึ่งปีหลังของปี 2568 อีกกว่า 150,000 ล้านบาท เพื่ออัดเม็ดเงินลงสู่ระบบเศรษฐกิจ ซึ่งจะทำให้ทั้งปีสามารถปล่อยสินเชื่อใหม่ได้ตามเป้าหมาย 241,780 ล้านบาท นับเป็นส่วนสำคัญในการช่วยกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ให้ขยายตัวได้ดีขึ้น ส่งอานิสงส์บวกต่อการจ้างงาน และธุรกิจเกี่ยวเนื่องให้ขยายตัวได้ดีขึ้น และจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจในภาพรวมได้ต่อไป
นอกจาก มาตรการอัดฉีดเม็ดเงินลงสู่เศรษฐกิจผ่านการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยแล้ว ธนาคารฯยังได้ช่วยเหลือลูกค้าตามนโยบายกระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ดำเนิน “โครงการคุณสู้ เราช่วย” ปัจจุบัน มีลูกค้าลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการ 80,939 บัญชี สำหรับลูกค้าที่ไม่สามารถเข้าร่วมโครงการคุณสู้ เราช่วย ธอส. ก็ได้มีมาตรการในการช่วยเหลือ ลูกค้ากลุ่มที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ (SM) และ ลูกค้าสถานะ NPL ที่ได้รับผลกระทบด้านรายได้มาอย่างต่อเนื่องรวมกว่า 373,000 บัญชี
แบ่งเป็น ปี 2567 มีลูกค้าที่ได้รับการแก้ไขหนี้ และกลับมามีสถานะปกติแล้วกว่า 238,000 บัญชี ผ่านมาตรการแก้ไขปัญหาหนี้สินภาคครัวเรือน ปี 2567 (HD1 – HD3) และ มาตรการในการช่วยลูกค้าลดเงินงวดผ่อนชำระ พักชำระดอกเบี้ยนานสูงสุด 1 ปี โดยในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2568 ธอส. ช่วยเหลือลูกค้ากลุ่มดังกล่าวให้กลับมามีสถานะปกติแล้วกว่า 135,000 บัญชี จากมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจ (DC 1 – DC2)

สำหรับ ทิศทางการดำเนินงานของ ธอส. ในฐานะสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ ไม่ได้ตั้งเป้าหมายทำกำไรสูงสุด แต่มุ่งเน้นดำเนินการตามพันธกิจ “ทำให้คนไทยมีบ้าน” ตามกรอบการดำเนินงานที่ได้รับมอบหมายจากกระทรวงการคลัง โดยที่ผ่านมาได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ทุกประเภท ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ย MRR ธอส.อยู่ในระดับต่ำสุดเมื่อเทียบกับธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินของรัฐอื่น พร้อมทั้งจัดทำมาตรการขยายระยะเวลากู้ออกไปสูงสุดถึง 80 ปี หรือ 85 ปี จากเดิมอายุผู้กู้รวมกับระยะเวลากู้ต้องไม่เกิน 70 ปี หรือ 75 ปี ซึ่งสามารถช่วยแบ่งเบาภาระค่าครองชีพให้กับลูกค้าได้
นอกจากนี้ ธอส. ยังเดินหน้ายกระดับคุณภาพชีวิตคนไทยให้ดีขึ้น โดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อยและปานกลาง รวมถึงลูกค้ากลุ่มเปราะบางให้เข้าถึงสินเชื่อมากขึ้น ด้วยการเปิดโอกาสให้ลูกค้าที่ยังขาดเอกสารหลักฐานหรือที่มาของรายได้เข้าร่วมโครงการบ้าน ธอส. โรงเรียนการเงิน เพื่อออมเงินอย่างสม่ำเสมอผ่าน Application: GHB ALL GEN เป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า 12 เดือน (ทุกบัญชีรวมกัน) มาเป็นหลักฐานในการใช้ยื่นขอสินเชื่อที่อยู่อาศัยกับ ธอส. ในอนาคต ซึ่งที่ผ่านมามีลูกค้าสนใจลงทะเบียนเพื่อเปิดบัญชีเงินออมกว่า 220,000 ราย และได้รับสินเชื่อแล้วมากกว่า 50,000 ราย และปีนี้ ธอส. ตั้งเป้าดึงลูกค้าเปิดบัญชีออมเงินเพื่อบ้านในอนาคตกว่า 10,000 ราย
“การดำเนินงานของ ธอส. นอกจากเป็นการสานต่อนโยบายในการเติมเม็ดเงินลงสู่ระบบเศรษฐกิจด้วยผลิตภัณฑ์สินเชื่อที่หลากหลายและการแก้ไขหนี้ให้กับลูกค้าแล้ว ยังเป็นการดำเนินการเพื่อตอกย้ำการเป็นผู้นำการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัย Market share อันดับ 1 ของประเทศ และตอบโจทย์ยุทธศาสตร์ในการก้าวสู่การเป็น Sustainable Bank ในอนาคต ที่จะมีส่วนทำให้เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมเติบโตไปด้วยกันอย่างยั่งยืนต่อไป” นายกมลภพ กล่าวสรุป.