‘นวัตกรรมจุลสาหร่ายบำบัดก๊าซเรือนกระจก’

รายงานจาก โรงไฟฟ้าบีแอลซีพี และ Algal Bio ระบุว่า ในยุคที่วิกฤตสภาพภูมิอากาศกำลังส่งผลกระทบต่อโลกอย่างเห็นได้ชัด ทั้งอุณหภูมิที่พุ่งสูงขึ้น ภัยธรรมชาติที่รุนแรงขึ้น และผลกระทบต่อภาคเกษตรกรรม ภาคธุรกิจไทยกำลังแสดงบทบาทสำคัญในการร่วมแก้ไขปัญหานี้ผ่านความร่วมมือกับพันธมิตรระดับโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการล่าสุดที่น่าจับตามองระหว่างบริษัท บีแอลซีพี เพาเวอร์ จำกัด หรือ โรงไฟฟ้าบีแอลซีพี (BLCP Power Limited) และ บริษัท Algal Bio จากประเทศญี่ปุ่น

เปลี่ยนของเสียให้เป็นทรัพยากรด้วยพลังแห่งจุลสาหร่าย

เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา ได้มีพิธีลงนามความร่วมมือโครงการนำร่องที่มีชื่อว่า “Microalgae CCUS” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของงาน Thailand-Japan Sustainable Business Forum 2025 ที่จัดโดยองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (JETRO) สำนักงานกรุงเทพฯ ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) และสำนักงานคณะกรรมการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EECO) ณ โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล กรุงเทพฯ

ซึ่งโครงการนี้ ได้รับทุนสนับสนุนจาก METI Global South Grant Program โดย METI หรือ กระทรวงเศรษฐกิจ การค้าและอุตสาหกรรมของประเทศญี่ปุ่น (Ministry of Economy, Trade and Industry) เป็นผู้ให้ทุนหลักและออกค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่ของโครงการนี้

แต่ “Microalgae CCUS” คืออะไร? และทำไมโครงการนี้ถึงสำคัญต่ออนาคตด้านสิ่งแวดล้อมของไทย?

CCUS ย่อมาจาก Carbon Capture, Utilization and Storage หรือการดักจับ การใช้ประโยชน์ และการกักเก็บคาร์บอน ซึ่งเป็นเทคโนโลยีสำคัญในการลดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ปล่อยสู่ชั้นบรรยากาศ โดยโครงการนี้มีความพิเศษตรงที่ใช้จุลสาหร่ายในการดักจับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการแยกคาร์บอนแบบดั้งเดิมที่มีต้นทุนสูง

โรงไฟฟ้าบีแอลซีพีกับบทบาทการลดคาร์บอนในภาคพลังงานไทย

โรงไฟฟ้าบีแอลซีพี เป็นหนึ่งในผู้ผลิตพลังงานชั้นนำของไทยที่กำลังเดินหน้าโครงการลดคาร์บอนหลายรูปแบบ เพื่อตอบสนองต่อเป้าหมาย Carbon Neutrality ทั้งโครงการเผาไหม้ร่วมด้วยแอมโมเนียและชีวมวล โครงการดักจับและใช้ประโยชน์คาร์บอน (CCU) รวมถึงโครงการดักจับและกักเก็บคาร์บอน (CCS)
โครงการ Microalgae CCUS นี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนงาน CCU โดยใช้นวัตกรรมการดักจับคาร์บอนด้วยวิธีทางชีวภาพผ่านจุลสาหร่าย ซึ่งไม่เพียงแต่จะช่วยลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกเท่านั้น แต่ยังสามารถนำชีวมวลจากจุลสาหร่ายไปผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูง เช่น เชื้อเพลิงชีวภาพ ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ อาหารสัตว์ และเครื่องสำอาง สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจควบคู่ไปกับการรักษาสิ่งแวดล้อม

Algal Bio ผู้เชี่ยวชาญด้านจุลสาหร่ายระดับโลก

อีกคนสำคัญในโครงการนี้คือ Algal Bio จากประเทศญี่ปุ่น บริษัทที่มีความเชี่ยวชาญด้านจุลสาหร่ายโดยเฉพาะ ก่อตั้งขึ้นในปี 2561 โดยพัฒนาองค์ความรู้จากงานวิจัยกว่า 20 ปีที่มหาวิทยาลัยโตเกียว และครอบครองคลังสายพันธุ์จุลสาหร่ายถึง 100 สายพันธุ์ 1,260 สายพันธุ์ย่อย พร้อมด้วยประสบการณ์และความรู้เกี่ยวกับวิธีการเพาะเลี้ยงที่เหมาะสม
Algal Bio เคยประสบความสำเร็จในการดำเนินโครงการทดสอบแนวคิด CCUS ในญี่ปุ่นระหว่างปี 2565-2567 ร่วมกับบริษัทไฟฟ้าคันไซ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก NEDO องค์กรพัฒนาพลังงานใหม่และเทคโนโลยีอุตสาหกรรมของญี่ปุ่น และนำประสบการณ์ดังกล่าวมาต่อยอดในประเทศไทย

ทำไมต้องใช้จุลสาหร่าย?

จุลสาหร่ายมีข้อได้เปรียบหลายประการในการดักจับคาร์บอน

  1. ประสิทธิภาพสูง: จุลสาหร่ายสามารถดูดซับก๊าซไอเสีย (CO₂) ได้โดยตรงจากแหล่งกำเนิด โดยไม่จำเป็นต้องผ่านกระบวนการดักจับแบบซับซ้อนและมีต้นทุนสูง
  2. ผลิตภัณฑ์มูลค่าเพิ่ม: ชีวมวลที่ได้จากจุลสาหร่ายเป็นส่วนผสมที่มาจากพืช มีการใช้งานที่หลากหลาย สามารถแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูงได้
  3. ต้นทุนต่ำ: เมื่อเทียบกับเทคโนโลยีอื่นๆ เช่น DAC (Direct Air Capture) หรือการผลิตทางชีวเคมี การใช้จุลสาหร่ายมีต้นทุนการลงทุนที่ต่ำกว่า
  4. เศรษฐกิจหมุนเวียน: สร้างระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนสีเขียว ที่นำของเสียกลับมาใช้ประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

โครงการ Microalgae CCUS มีวัตถุประสงค์หลักในการทดสอบแนวคิดการตรึงคาร์บอนไดออกไซด์ด้วยการเพาะเลี้ยงจุลสาหร่าย พร้อมนำชีวมวลที่ได้ไปพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์เชิงพาณิชย์ โดยมุ่งสร้างเศรษฐกิจหมุนเวียนสีเขียวตามแนวคิด BCG (Bio-Circular-Green Economy) ซึ่งเป็นนโยบายหลักของรัฐบาลไทย


จากแผนการดำเนินงานของโครงการนี้ เริ่มต้นด้วยการศึกษาความเป็นไปได้ในช่วงกรกฎาคม-ธันวาคม 2567 ที่ผ่านมา ขั้นต่อไปจะเป็นการทดสอบการเพาะเลี้ยงและทดสอบความเป็นไปได้เชิงพาณิชย์จนถึงธันวาคม 2568 ก่อนที่จะมีการประเมินการขยายขนาดตั้งแต่ปี 2569 เป็นต้นไป โดยค่าใช้จ่ายของโครงการนี้ได้รับการสนับสนุนจากโปรแกรมทุน METI Global South ปี 2568 ซึ่งเป็นการแสดงถึงความสำคัญของโครงการในระดับนานาชาติ

ประโยชน์ต่อประเทศไทย
นอกจากการช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โครงการนี้ยังมีเป้าหมายในการผลิตส่วนผสมใหม่จากชีวมวลสำหรับผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อสุขภาพของคนไทย สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน รวมถึงการเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี CCUS ในภูมิภาคนี้ซึ่งสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของไทยในการเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจยั่งยืนของอาเซียน เสริมความแข็งแกร่งให้กับนโยบาย BCG Economy และการมุ่งสู่เป้าหมาย Carbon Neutrality ในระยะยาว

ด้วยนวัตกรรมการใช้จุลสาหร่ายดักจับคาร์บอน โรงไฟฟ้าบีแอลซีพี และ Algal Bio กำลังแสดงให้เห็นว่าการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมไม่จำเป็นต้องเป็นภาระทางเศรษฐกิจ แต่สามารถสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ที่ยั่งยืนได้ โครงการนี้ไม่เพียงช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก แต่ยังสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ สนับสนุนชุมชนท้องถิ่น และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน เป็นตัวอย่างของการพัฒนาที่สมดุลทั้งมิติเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมหรือ ESG อีกทั้งยังเป็นไปตามแนวทาง BCG Economy ที่ประเทศไทยกำลังมุ่งหน้าไปอีกด้วย.

Login

Welcome! Login in to your account

Remember me Lost your password?

Lost Password