SCGC ชูวิชั่นผู้นำตลาดเคมีภัณฑ์ภูมิภาค ส่งนวัตกรรมเคมีภัณฑ์ตอบโจทย์เมกะเทรนด์โลก

SCGC โชว์วิสัยทัศน์เป็นผู้นำตลาดเคมีภัณฑ์ภูมิภาค มุ่งพัฒนานวัตกรรมและสินค้า HVA ตอบสนอง 5 เมกะเทรนด์โลกและอาเซียน  ชูศักยภาพผู้ประกอบการรายเดียวในภูมิภาคมีฐานการผลิต 3 ประเทศ พร้อมนำเทคโนโลยีดิจิทัลปรับใช้ในธุรกิจ 

นายธนวงษ์ อารีรัชชกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี เคมิคอลส์ เปิดเผยว่า SCGC ดำเนินธุรกิจเคมีภัณฑ์มา 40 ปี ตั้งแต่ยุคบุกเบิกธุรกิจปิโตรเคมี และได้ขยายการลงทุนในไทยและระดับภูมิภาคอย่างต่อเนื่อง โดยมีวิสัยทัศน์ที่จะเป็น “ผู้นำตลาดเคมีภัณฑ์ในระดับภูมิภาค ที่มุ่งสร้างการเติบโตแก่ธุรกิจ ควบคู่ไปกับการสร้างความยั่งยืน ภายใต้หลักดำเนินการสำคัญ 3 ประการ คือ

(1) มุ่งยกระดับคุณภาพชีวิตของลูกค้า และผู้บริโภคด้วยสินค้าและบริการที่มีคุณภาพ

(2) มุ่งมั่นพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม

(3) ดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

ปัจจุบัน SCGC จัดจำหน่ายสินค้าในกว่า 120 ประเทศทั่วโลก มีผลิตภัณฑ์หลากหลาย ตั้งแต่โมโนเมอร์ต้นน้ำและพอลิเมอร์ ปลายน้ำ ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวเนื่องของปิโตรเคมี และผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปปัจจุบัน มีกำลังการผลิตรวม 6.9 ล้านตันต่อปี คิดเป็นส่วนแบ่งกำลังการผลิตในภูมิภาคอาเซียน (ณ เดือนธันวาคม 2564)  19% หรือเกือบ 1 ใน 5

นายธนวงษ์ กล่าวต่อไปว่า หนึ่งในจุดแข็งสำคัญของ SCGC คือ การมีฐานผลิตใน 3 ประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในภูมิภาคอาเซียน ได้แก่ ไทย อินโดนีเซียและเวียดนาม มีประชากรรวมกันประมาณ 440 ล้านคน หรือประมาณ 2 ใน 3 ของประชากรทั้งหมดในอาเซียน มีสัดส่วนรายได้จากอาเซียน คิดเป็นประมาณ 21 %  โดยไทยถือเป็นฐานการผลิตหลัก ในอินโดนีเซียเป็นการลงทุนผ่านการถือหุ้น 30% ใน Chandra Asri PetrochemicalTbk (CAP)  และในเวียดนาม

ทั้งนี้ ภูมิภาคอาเซียนถือเป็นตลาดที่มีศักยภาพการเติบโตที่ดี โดยคาดการณ์เวียดนามและอินโดนีเซียจะมีอัตราเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) 5–6% ต่อปี ภายในช่วง 10 ปีข้างหน้า ซึ่งมากกว่าค่าเฉลี่ยการเติบโตของ GDP ทั่วโลกเกือบเท่าตัว  นอกจากนี้ อัตราการใช้พอลิเมอร์ในภูมิภาคอาเซียนในปัจจุบัน (ณ 31 ธันวาคม 2564) อยู่ที่ 26 กิโลกรัมต่อคนต่อปี ซึ่งยังต่ำกว่าในยุโรปและสหรัฐอเมริกา 2-3 เท่า ตลาดอาเซียนจึงยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันเวียดนามยังต้องนำเข้าพอลิเมอร์ 75% และอินโดนีเซีย 50% เนื่องจากมีกำลังการผลิตในประเทศไม่เพียงพอ ซึ่งเป็นโอกาสของ SCGC ที่จะใช้ความได้เปรียบจากการมีฐานการผลิตในกลุ่มประเทศดังกล่าว ตอบสนองความต้องการของตลาดได้รวดเร็วกว่า

ส่วนความคืบหน้าการก่อสร้างโครงการ LSP ในเวียดนาม ขณะนี้เดินหน้าไปตามแผน คาดว่าจะดำเนินการเชิงพาณิชย์ภายในครึ่งปีแรกของปี 2566 ซึ่งจะทำให้มีกำลังการผลิตรวมเพิ่มขึ้นกว่า 40% เป็น 9.8 ล้านตันต่อปี โครงการดังกล่าวได้ใช้เทคโนโลยีทันสมัยในรูปแบบ Flexible Cracker เลือกวัตถุดิบหลากหลายเข้ามาใช้ในการผลิตได้มากขึ้น และมีที่ตั้งอยู่ในทำเลยุทธศาสตร์ที่ได้เปรียบด้านโลจิสติกส์ ส่งผลดีต่อการบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่   ค่าย SCGC ให้ข้อมูลภาพรวมอุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์และธุรกิจของ SCGC ว่ามีศักยภาพและโอกาสการเติบโตทั้งในระยะสั้น ระยะกลางและระยะยาว โดยธุรกิจเคมีภัณฑ์จะถูกขับเคลื่อน และได้รับประโยชน์จากเมกะเทรนด์ที่สำคัญ ๆ ของโลกและภูมิภาคอาเซียน เช่น

  1. การเปลี่ยนแปลงด้านโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) จากการขยายตัวของเมือง
  2. การเปลี่ยนมาใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้า
  3. การเปลี่ยนผ่านสู่การใช้พลังงานสะอาด
  4. การดูแลรักษาสุขภาพ

สิ่งเหล่านี้จะกระตุ้นให้เกิดการความต้องการใช้เคมีภัณฑ์ในปริมาณที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางการพัฒนานวัตกรรมของ SCGC ที่มุ่งเน้นไปยังกลุ่มสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่ม (High Value Added Products & Services – HVA) รวมไปถึงการพัฒนา Green Innovation เช่น พอลิเมอร์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Green Polymer) และนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ด้าน Low Carbon 

โดยปี 2564 บริษัทฯ มีสัดส่วนสินค้า HVA คิดเป็นประมาณ 36% ของรายได้รวมของบริษัทฯ นอกจากนี้ยังจะขยายสินค้าในกลุ่มพอลิเมอร์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม หรือ Green Polymer เป็น 1 ล้านตันต่อปี ภายในปี 2573

“นวัตกรรมเคมีภัณฑ์อยู่รอบตัวและเกี่ยวข้องกับไลฟ์สไตล์ของทุกคน โดยบริษัทฯ ส่งมอบผลิตภัณฑ์คุณภาพสูงให้กับลูกค้า เพื่อนำไปผลิตสินค้าให้กับผู้บริโภคปลายทาง ตอบโจทย์การใช้งานที่หลากหลาย ทั้งการใช้งานในชีวิตประจำวัน เช่น กล่องใส่อาหาร กล่องนม ฝาขวดน้ำดื่มและน้ำอัดลม หน้ากากอนามัย เป็นต้น และการใช้งานในกลุ่มอุตสาหกรรมต่าง ๆ อาทิ พลาสติกสำหรับผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ พลาสติกทางการแพทย์ และ พลาสติกเพื่องานโครงสร้าง เช่น ท่อทนแรงดันสูง PE 112 สำหรับส่งก๊าซหรือน้ำประปา ฯลฯ” นายธนวงษ์ ย้ำ

อนึ่ง ผลการดำเนินงานปี 2564 SCGC มีรายได้จากการขาย 238,390 ล้านบาท กำไรสุทธิ 27,068 ล้านบาท แม้ปัจจุบันธุรกิจเคมีภัณฑ์จะมีความท้าทายจากปัจจัยภายนอก เช่น ราคาวัตถุดิบและพลังงานที่เพิ่มขึ้น แต่ปัจจัยดังกล่าวส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการทุกรายในอุตสาหกรรม โดย SCGC เชื่อมั่นว่า การมุ่งพัฒนาสินค้า HVA เพื่อตอบสนองเมกะเทรนด์ การดำเนินธุรกิจควบคู่กับการพัฒนาอย่างยั่งยืน และ ESG ฯลฯ จะทำให้บริษัทฯ ก้าวข้ามความท้าทายและเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว.

Login

Welcome! Login in to your account

Remember me Lost your password?

Lost Password