กอช. ลงนามตั้ง 6 บลจ. มอบผู้จัดการกองทุนมืออาชีพ บริหารพอร์ตเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนให้สมาชิก กอช.
วันนี้ (30 ม.ค. 68) ที่กระทรวงการคลัง มีการจัดพิธีลงนามสัญญาจ้างระหว่างกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) และบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน 6 แห่ง โดยมีนายธีรลักษ์ แสงสนิท รองปลัดกระทรวงการคลัง ปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ ให้เกียรติเป็นประธานสักขีพยาน และดร.วโรทัย โกศลพิศิษฐ์กุล ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ร่วมเป็นสักขีพยาน
โดยนางสาวจารุลักษณ์ เรืองสุวรรณ เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) กล่าวว่า เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยงในการจัดสรรเงินลงทุนของกองทุน คณะกรรมการ กอช. ได้มีมติมอบหมายให้ผู้จัดการกองทุนที่มีใบอนุญาตจัดการกองทุนจำนวน 6 ราย ประกอบด้วย บริษัทจัดการกองทุนบริหารเงินของกองทุน ประเภทตราสารทุนไทย จำนวน 4 ราย ได้แก่ บริษัท หลักทรัพย์จัดการกองทุน พรินซิเพิล จำกัด ,บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงศรี จำกัด ,บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) ,บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน วรรณ จำกัด
และประเภทตราสารหนี้ไทย 2 ราย ได้แก่ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) ,บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด เพื่อเป็นผู้จัดการกองทุนรายย่อยของ กอช. โดยมีมูลค่ากองทุนที่ต้องบริหารทั้ง 6 แห่งประมาณ 7,200 ล้านบาท ซึ่ง กอช. จะมีการกำกับดูแลและตรวจสอบการดำเนินงานของผู้จัดการกองทุนภายนอกอย่างใกล้ชิด และประเมินผลการดำเนินงานของผู้จัดการกองทุนสม่ำเสมอ เพื่อให้มั่นใจได้ว่า การว่าจ้างผู้จัดการกองทุนจะเป็นการเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนและเป็นประโยชน์กับสมาชิก กอช.
นางสาวจารุลักษณ์ กล่าวอีกว่า กองทุนมีมูลค่าทรัพย์สิน 14,547.85 ล้านบาท (ข้อมูล ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567) สำหรับผลการดำเนินงานในปี 2567 มีอัตราผลตอบแทนอยู่ที่ร้อยละ 2.43 โดยมีนโยบายการลงทุน (INVESTMENT POLICY AND GUIDELINE) ซึ่งกำหนดให้การลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีความมั่นคงสูง อาทิ เงินฝากประจำ พันธบัตรรัฐบาล และตราสารหนี้ภาคเอกชน สูงกว่าร้อยละ 80 และการลงทุนในหลักทรัพย์อื่นที่มีความเสี่ยงสูงได้ไม่เกินร้อยละ 20 อาทิ หุ้นสามัญในดัชนี SET 100 และกองทุนอสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น ทั้งนี้ ปัจจุบัน กอช. มีสมาชิก 2,711,765 ล้านคน (ข้อมูล ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567)
ส่วนการมอบหมายให้มีผู้จัดการกองทุนจากภายนอกเข้ามาช่วยบริหารพอร์ตให้กับ กอช. นั้น นางสาวจารุลักษณ์ กล่าวว่า จะทำให้การบริหารพอร์ตมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เนื่องจากเป็นการมอบหมายให้บริหารพอร์ตตามความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านของผู้จัดการกองทุน โดยมีสัญญาจ้างและเงื่อนไขการบริหารตามที่คณะกรรมการกำหนด ซึ่งแผนการลงทุนของผู้จัดการลงทุนแต่ละรายเป็นไปตามนโยบายการลงทุนของ กอช. ทั้งนี้ การว่างจ้างผู้จัดการกองทุนนี้ให้มีผู้เชี่ยวชาญและประสบการณ์ มีการบริหารจัดการอย่างมืออาชีพ จะทำให้ กอช. มีดัชนีเปรียบเทียบผลการดำเนินงาน และเกิดการแข่งขันอย่างสมบูรณ์ และยังเป็นการกระจายความเสี่ยงในรูปแบบหนึ่งด้วย
สำหรับ กอช. เป็นหน่วยงานของรัฐ ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงการคลัง จัดขึ้นตาม พ.ร.บ. กองทุนการออมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๔ มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการออมทรัพย์ของสมาชิก และเป็นหลักประกันการจ่ายบำนาญ และให้ประโยชน์ตอบแทนแก่สมาชิกเมื่อสิ้นสมาชิกภาพ ทั้งนี้เพื่อให้มีระบบการออม ที่ครอบคลุมประชาชนทุกกลุ่ม ตั้งแต่นักเรียน นิสิต นักศึกษา รวมถึงแรงงานนอกระบบ ซึ่งเป็นแรงงานส่วนใหญ่ของประเทศ ที่ไม่ได้รับความคุ้มครองเพื่อการชราภาพอย่างทั่วถึง ให้ได้มีเงินบำนาญไว้ใช้เมื่ออายุครบ 60 ปีโดยผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 15 – 60 ปี สามารถสมัครเป็นสมาชิก กอช. และเริ่มต้นออมเงินขั้นต่ำเพียง 50 บาทต่อครั้ง ออมรวมสูงสุด 30,000 บาทต่อปี โดยรัฐบาลสมทบให้ในเดือนถัดไป (ตามช่วงอายุ) ดังนี้
- อายุ 15-30 ปี รัฐสมทบให้ร้อยละ 50 ของเงินออม แต่ไม่เกิน 1,800 บาทต่อปี
- อายุ 31-50 ปี รัฐสมทบให้ร้อยละ 80 ของเงินออม แต่ไม่เกิน 1,800 บาทต่อปี
- อายุ 51-60 ปี รัฐสมทบให้ร้อยละ 100 ของเงินออม แต่ไม่เกิน 1,800 บาทต่อปี
นอกจากนี้ กอช. เป็นกองทุนที่มีความยืดหยุ่นสูง ซึ่งสมากชิก กอช. ไม่จำเป็นต้องส่งเงินออมเป็นประจำหรือเท่ากันทุกปี และยังคุ้มครองผลตอบแทนการลงทุนไม่ต่ำกว่าดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 12 เดือน เฉลี่ย 7 ธนาคาร ณ วันที่สมาชิกมีอายุครบ 60 ปีบริบูรณ์ โดยที่ท่านจะไม่เสียสิทธิใดๆ อีกทั้งยังได้รับสิทธิสวัสดิการจากรัฐตามปกติ อาทิ เบี้ยชีพผู้สูงอายุ สิทธิบัตรทอง 30 บาท เป็นต้น และเงินออมยังสามารถนำไปลดหย่อนภาษีประจำปีได้สูงสุด 30,000 บาท
ทั้งนี้ผู้ที่สนใจสามารถสมัครและส่งเงินออม ผ่านแอปพลิเคชัน “กอช.”,เป๋าตัง, ทางรัฐ, MyMo, กรุงไทยเน็กซ์, ทรูมันนี่, เคพลัส, เป๋าตัง หรือทางไลน์แอด กอช. @nsf.th หรือสมัครได้ที่ธนาคารของรัฐ 5 แห่ง ได้แก่ ธนาคารกรุงไทย, ธนาคารออมสิน, ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร, ธนาคารอาคารสงเคราะห์, ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย และจุดบริการเคาน์เตอร์เซอร์วิสทั่วประเทศ หรือสอบถามเพิ่มเติม ได้ที่สายด่วนเงินออม 02-049-9000.