บสย. ดึง ‘รีสตาร์ท-สตาร์อัพ’ เดินต่อธุรกิจ – โชว์ผลงานค้ำฯครึ่งปีแรกพุ่งเกินเป้า 53%

บสย.โชว์ผลงานอนุมัติค้ำประกันสินเชื่อครึ่งแรกปี 65 พุ่งทะลุเป้า ดันยอดรวมเกิน 9 หมื่นล้าน พร้อมเร่งสปีดรุกต่อในครึ่งปีหลังชนิดไม่หวั่นโควิดฯรอบใหม่ เผย! เตรียมรีแบรนด์ดิ้งแบบยกเครื่อง ก่อนเดินหน้ากระตุ้นยอดค้ำฯ หวัง “แก้หนี้อย่างยั่งยืน” จี้กลุ่มรีสตาร์ทและสตาร์อัพ เร่งมาใช้บริการจาก PGS 9 ที่ยังเหลือวงเงินอีก 1.7 หมื่นล้าน จ่อดึงงบหลวง 1.5 แสนล้านเดินเครื่อง PGS 10 ปลุกเศรษฐกิจไทย

นายสิทธิกร ดิเรกสุนทร กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) แถลงผลดำเนินงานค้ำประกันสินเชื่อ บสย. รอบ 6 เดือน (1 ม.ค.- 30 มิ.ย. 2565) ว่า ภาพรวมครึ่งปีแรกสามารถอนุมัติวงเงินค้ำประกันสินได้เชื่อเกินเป้าหมายที่ 92,879 ล้านบาท หรือ 53% ของเป้าหมายทั้งปีที่ 174,348 ล้านบาท โดยยอดค้ำประกันดังกล่าว 50%  มาจาก โครงการค้ำประกันสินเชื่อ บสย. SMEs สร้างชาติ (PGS 9) วงเงิน 46,314 ล้านบาท ตามมาด้วย โครงการค้ำประกันสินเชื่อ พ.ร.ก.ฟื้นฟู สัดส่วน 39% วงเงิน 36,425 ล้านบาท และ อันดับ 3 โครงการค้ำประกันสินเชื่อ บสย. Micro ต้องชนะ (Micro 4) สัดส่วน 5% วงเงิน 4,473 ล้านบาท รวมถึง โครงการอื่นๆ สัดส่วน 6% วงเงิน 5,667 ล้านบาท 

ทั้งนี้ หากแบ่งกลุ่มธุรกิจยอดค้ำประกันสูงสุด พบว่า อันดับ 1 ธุรกิจบริการ  28% อันดับ 2. กลุ่มเกษตรกรรม 12% และอันดับ 3. ธุรกิจการผลิตสินค้าและการค้า 11% โดยสามารถสร้างผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ (Economic Benefit Multiplier) ช่วยผู้ประกอบการ SMEs เข้าถึงแหล่งทุน 68,731 ราย สร้างสินเชื่อในระบบ 102,544 ล้านบาท  รักษาการจ้างงานรวม 620,164 ตำแหน่ง และ สร้างผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ 383,592 ล้านบาท  (Economic Benefit Multiplier เท่ากับ 4.13 เท่า) 

สำหรับ ผลการค้ำประกันสินเชื่อในกลุ่มธุรกิจเกษตรกรรมมีสัดส่วนเพิ่มขึ้น 2% จาก 10% ในปี 2564 เป็น 12% ในปี 2565  คิดเป็นวงเงินค้ำ 11,001 ล้านบาท นั้น พบว่า ภาคใต้ ครองแชมป์ยอดค้ำสูงสุด สัดส่วน 25%  วงเงิน  2,774 ล้านบาท  ประกอบด้วย 1.ผัก ผลไม้ 2.ข้าวพืชไร่ 3.ค้าสัตว์น้ำ และอื่นๆ ผ่าน สถาบันการเงินของรัฐ หรือ SFIs  / ธนาคารพาณิชย์ สัดส่วน 30:70  

อันดับ 2 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สัดส่วน 19% วงเงิน 2,028 ล้านบาท ประกอบด้วย 1.ข้าวพืชไร่ 2.ยางพารา 3.ชากาแฟ และอื่นๆ ผ่าน SFIs / ธนาคารพาณิชย์ สัดส่วน 36:64  อันดับ 3 ภาคเหนือ สัดส่วน 18 % วงเงิน 1,943 ล้านบาท ประกอบด้วย 1.ข้าวพืชไร่ 2.ปศุสัตว์ 3.ผักผลไม้ และ อื่นๆ  ผ่าน SFIs / ธนาคารพาณิชย์ สัดส่วน 38:62 อันดับ 4 กรุงเทพและปริมณฑล สัดส่วน 15 % วงเงิน 1,639 ล้านบาท ประกอบด้วย 1.ผักผลไม้ 2.ข้าวพืชไร่ 3. ค้าสัตว์น้ำ และ อื่นๆ  ผ่าน SFIs / ธนาคารพาณิชย์ สัดส่วน 31:69 

อันดับ 5 ภาคกลาง สัดส่วน 12% วงเงิน 1,365 ล้านบาท ประกอบด้วย 1.ปศุสัตว์ 2.ข้าวพืชไร่ 3.ผักผลไม้ และ อื่นๆ  ผ่าน SFIs / ธนาคารพาณิชย์ สัดส่วน 48:52  อันดับ 6 ภาคตะวันออก สัดส่วน 11% วงเงิน 1,251 ล้านบาท ประกอบด้วย 1.ผักผลไม้ 2.ปศุสัตว์ 3. ข้าวพืชไร่ และ อื่นๆ ผ่าน SFIs / ธนาคารพาณิชย์ สัดส่วน 19:81 

นายสิทธิกร กล่าวอีกว่า ในรอบ 6 เดือน โครงการค้ำประกันสินเชื่อ บสย. SMEs สร้างชาติ (PGS 9) วงเงิน 150,000 ล้านบาท เป็นโครงการตามมาตรการรัฐ โดยสนับสนุนจ่ายชดเชยค่าธรรมเนียมค้ำประกันแทนผู้ประกอบการ SMEs ด้วยเงื่อนไขการค้ำประกันดีที่สุดเท่าที่เคยมีมา ฟรีค่าธรรมเนียมค้ำประกันสูงสุด 3 ปี ระยะเวลาการค้ำ 10 ปี และได้รับความนิยมจากสถาบันการเงิน โดยสิ้นสุดโครงการ ในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2565

ด้าน ผลดำเนินงานการให้คำปรึกษาทางการเงิน โดยศูนย์ที่ปรึกษาทางการเงิน SMEs (บสย. F.A. Center) ทำหน้าที่ให้คำปรึกษาและพัฒนาศักยภาพและยกระดับขีดความสามารถทางธุรกิจของ SMEs ซึ่งไม่มีค่าใช้จ่าย โดยทีมผู้เชี่ยวชาญทางการเงิน นับตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2563 – 30 มิถุนายน 2565 มีการให้บริการรวม 9,458 ราย มีผู้เข้ารับการอบรม 6,120 ราย มีผู้ลงทะเบียนขอรับคำปรึกษา 3,338 ราย และให้คำปรึกษาแล้ว จำนวน 1,940 ราย ขอรับคำปรึกษามากที่สุด ได้แก่ 1.สินเชื่อ 2.ปรับโครงสร้างหนี้ 3. การพัฒนาธุรกิจ โดยมีความต้องการสินเชื่อ 11,242 ล้านบาท

ทั้งนี้ ยังร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ให้คำปรึกษาผู้ประกอบการที่มีปัญหาหนี้ ผ่านโครงการหมอหนี้เพื่อประชาชน ณ 30 มิถุนายน 2565 มีผู้ลงทะเบียนผ่าน ธปท. 3,748 ราย ซึ่งได้ส่งต่อให้ บสย. ให้คำปรึกษา จำนวน 645 ราย ส่วนใหญ่เป็นการปรับโครงสร้างหนี้ธุรกิจมากถึง 80%

นอกจากนี้ บสย. ยังประสบผลสำเร็จจากการดำเนินโครงการช่วยเหลือลูกหนี้ บสย. ภายใต้โครงการ “บสย. พร้อมช่วย” แก้หนี้อย่างยั่งยืน เช่น การประนอมหนี้ การปรับโครงสร้างหนี้ ด้วยมาตรการ 3 สี ม่วง เหลือง เขียว ที่ได้รับการยอมรับจากลูกหนี้ที่เข้าโครงการประนอมหนี้ ว่าเป็นโครงการเชิงรุกที่ยอดเยี่ยม ที่สามารถช่วยประคองธุรกิจได้จริง ด้วยโมเดลการประนอมหนี้ที่มีความยืดหยุ่น เหมาะกับความสามารถในการชำระหนี้ ดังนี้

มาตรการที่ 1 (สีม่วง)  ยืดหยุ่น เพื่อให้ “ลูกหนี้”  ยืนได้และก้าวต่อไป  ตัดต้น 20% ดอกเบี้ย 80% ผ่อนนาน 5 ปี  มาตรการที่ 2 (สีเหลือง) เบาใจ เบาแรง “หนี้ลดหมดแน่นอน” ชำระครั้งแรก 1% ตัดเงินต้นทั้งจำนวน ผ่อนนาน 5 ปี และ มาตรการที่ 3 (สีเขียว) ชำระครั้งแรก 10% ตัดเงินต้นทั้งจำนวน ดอกเบี้ย 0% ผ่อนนาน 7 ปี โดยทั้ง 3 มาตรการมีลูกหนี้ติดต่อเข้ารับการประนอมหนี้และปรับโครงสร้างหนี้ 6,372 ราย สามารถช่วยเหลือลูกหนี้ผ่านมาตรการต่างๆ ของ บสย. แล้ว 1,019 ราย คิดเป็นสัดส่วนความสำเร็จของการช่วยเหลือ (Success Rate) 16%  คิดเป็นวงเงินประนอมหนี้ 722 ล้านบาท ผลลัพธ์ที่ได้จากโครงการ สามารถเข้าถึงลูกหนี้ได้กว่า 75% ของลูกหนี้ที่เข้าร่วมทั้งหมด โครงการ “บสย. พร้อมช่วย” แก้หนี้อย่างยั่งยืน พร้อมให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ บสย. โดยเปิดช่องทางการส่งคำขอปรับโครงสร้างหนี้ มาที่ บสย. ได้ทุกช่องทาง ทั้ง Call Center  02-890-9999 

กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บสย. ย้ำว่า ทิศทางการดำเนินงานตลอดครึ่งปีหลัง จะเน้นการทำงานแบบเชิงรุก โดยจะ “รีแบรนด์ดิ้ง” ทั้งองค์กรและระบบการทำงาน ไม่เฉพาะแค่โลโก้ ภายใต้แนวคิด “TCG Fast & First รวดเร็ว รอบคอบ ที่หนึ่งในใจ SMEs”  เพื่อช่วยผู้ประกอบการ SMEs ทุกกลุ่ม เข้าถึงสินเชื่อ เพื่อผลักดันยอดค้ำประกันสินเชื่อสู่เป้าหมาย 174,348 ล้านบาท อาทิ

สนับสนุนผู้ประกอบการ SMEs ที่ต้องการ Re-Start ธุรกิจ หลังการเปิดประเทศ และ กลุ่ม Start up โดยร่วมกับสถาบันการเงินพันธมิตร SMEs D Bank

ยกระดับศูนย์ที่ปรึกษาทางการเงิน SMEs หรือ บสย. F.A. Center พัฒนาหลักสูตรการอบรม พร้อมให้คำปรึกษาผู้ประกอบการ SMEs และกลุ่มนักศึกษาจบใหม่ที่ต้องการมีธุรกิจเป็นของตัวเอง หรือ Start up เตรียมความพร้อมการเข้าสู่โลกธุรกิจ

สนับสนุนนโยบายแผนยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนประเทศไทยด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG  BIO-Economy เศรษฐกิจชีวภาพ Circular Economy เศรษฐกิจหมุนเวียน และ Green Economy เศรษฐกิจสีเขียว ร่วมกับสถาบันการเงิน และองค์กรพันธมิตร และโครงการพลิกโฉมเกษตรไทยด้วย BCG ก้าวสู่เกษตรอุตสาหกรรมมูลค่าสูง อาทิ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หอการค้าแห่งประเทศไทย เป็นต้น

การพัฒนานวัตกรรมค้ำประกันสินเชื่อ การส่งเสริมการให้ความรู้ทางการเงินและธุรกิจ

สนับสนุนให้ลูกหนี้ บสย. เข้าร่วมโครงการประนอมหนี้ ผ่านการปรับโครงสร้างหนี้ การแก้หนี้

เดินหน้าการขับเคลื่อนองค์กรสู่ Digital Transformation อยู่ระหว่างการพัฒนา Single Credit Scoring การพัฒนากระบวนการการพิจารณาสินเชื่อและการค้ำประกันสินเชื่อสู่ Digital Lending และ Digital Credit Guarantee  ร่วมกับสถาบันการเงินพันธมิตร

“เพื่อให้การช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ได้รับการค้ำประกันสินเชื่ออย่างต่อเนื่อง   บสย. ยังอยู่ในระหว่างการนำเสนอโครงการค้ำประกันสินเชื่อ PGS 10 วงเงิน 150,000 ล้านบาท ตั้งเป้าช่วยผู้ประกอบการ SMEs  35,000 ราย และกระตุ้นการปล่อยสินเชื่อ 180,000 ล้านบาท และ โครงการค้ำประกันสินเชื่อ Micro 5 วงเงิน 30,000 ล้านบาท ตั้งเป้าช่วยผู้ประกอบการ SMEs  120,000 ราย และ กระตุ้นการปล่อยสินเชื่อ 30,000 ล้านบาท” นายสิทธิกร ระบุ

ส่วนสถานการณ์โควิด-19 ที่มีแนวโน้มกลับมาระบาดใหม่จะกระทบแผนงานในครึ่งปีหลังหรือไม่ นายสิทธิกร ตอบว่า อาจจะมีผลกระทบบ้าง แต่เชื่อว่าทุกวันนี้โควิดฯได้อยู่กับพวกเราทุกคนอยู่แล้ว ดังนั้น เชื่อว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานและเป้าหมายของ บสย.สักเท่าใด สำหรับ วงเงินในส่วนของ PGS 9 นั้น ล่าสุด ตนได้รับรายงานเมื่อเช้าวันที่ 12 กรกฎาคมที่ผ่านมาว่า เหลือวงเงินอยู่ราว 1.7 หมื่นล้านบาทเศษเท่านั้น จึงขอเชิญชวนให้ผู้ประกอบการเอ็สเอ็มอีกลุ่ม รีสตาร์ท และสตาร์ท อัพ ได้มาใช้วงเงินที่เหลืออยู่ของ PGS 9 ที่คาดว่าจะสิ้นลงไม่เกินเดือนพฤศจิกายนี้ ขณะที่ PGS 10 บสย.ของบประมาณกับทางรัฐบาลไว้ราว 1.5 แสนล้านบาท เบื้องต้นคงใช้เกณฑ์เดียวกับ PGS 9 กล่าวคือ ยกเว้นการจัดเก็บค่าธรรมเนียม 2-3 ปีแรก โดยรัฐบาลจะออกค่าใช้จ่ายในส่วนนี้แทนให้กับผู้ประกอบการ.

Login

Welcome! Login in to your account

Remember me Lost your password?

Lost Password