SMART Excise

การเปลี่ยนผ่านเชิงนโยบายและระดับปฏิบัติการ มิอาจส่งผลกระทบต่อบทบาทความเป็น “กรม ESG” ของกรมสรรพสามิต ภายใต้แผนยุทธศาสตร์ SMART Excise ที่ยังคงยึดโยงแผนใหญ่ “ESG – จัดเก็บรายได้ส่งรัฐ” และการขานรับนโยบายรัฐบาล ผ่านแผนกระตุ้นเศรษฐกิจในมิติ Quick Win

ท่ามกลาง สถานการณ์การเปลี่ยนผ่าน…ทั้งใน ทางการเมืองและแวดวงข้าราชประจำ โดยเฉพาะในห้วงรอยต่อของ รัฐบาลชุดใหม่ ภายใต้การนำของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี (ครม.) ของเขา ที่มี “คนนอก – มืออาชีพ” หลายคนร่วมงานด้วย…

ภายใต้เงื่อนไขข้อจำกัด ตามบันทึกข้อตกลง (MOA) ที่ขีดเส้นอายุรัฐบาลชุดนี้ ได้มีเวลาการทำงานเพียงแค่ 4 เดือน หรือ 120 วัน และเป็น นายกฯอนุทิน ที่ยืนยันว่า… “รัฐบาลไม่มีวันที่ 121”

ดังนั้น ทุกอย่างจึง “โฟกัส” ไปที่การทำงานในกรอบเวลา 120 วัน

กระทรวงการคลัง ที่ได้ “แม่ทัพ…นำทีมคนใหม่” แต่หน้าเดิม? อย่าง ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อดีตอธิบดีกรมภาษี 2 กรม (กรมสรรพากรและกรมสรรพสามิต) และตำแหน่งสุดท้าย อธิบดีกรมธนารักษ์ ก่อนขยับตัวเองสู่วิถีทางการเมือง ในฐานะ “รองนายกฯและรมว.คลัง”

จึงถูกคาดหวังกับการผลักดันโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะเร่งด่วน! ตามแบบฉบับ… “Quick Win” หรือผลลัพธ์ที่จับต้องได้ในเวลาอันสั้น

กับงบประมาณที่มีจำกัด โดยรวบรวมมาจาก…งบประมาณที่เหลือจากปีงบประมาณ 2568 จำนวน 26,000 ล้านบาท งบกลางปีงบประมาณ 2569 อีก 25,000 ล้านบาท และงบฉุกเฉินในปีงบประมาณ 2569 อีก 100,000 ล้านบาท รวมเป็นวงเงินรวมประมาณ 150,000 ล้านบาท

จึงเสมือนเป็น “ใบเบิกทาง” ในการขับเคลื่อนนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ Quick Win ของรัฐบาลชุดนี้

นอกจากการปัดฝุ่น โครงการคนละครึ่ง ที่ยามนี้ “หัวหน้าทีม” ฝั่งข้าราชการประจำ อย่าง นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง นัดหมายผู้เกี่ยวข้อง ทั้งหน่วยงานภาครัฐและเอกชน โดยเฉพาะ ธนาคารกรุงไทย ซึ่งเคยดูแลโครงการนี้ร่วมกับกระทรวงการคลังมาก่อน

ทุกฝ่ายต่างเร่งวางกรอบการดำเนินงานอย่างคร่ำเคร่ง เพื่อให้ทันต่อการที่ “รัฐบาลอนุทิน” จะนำไปแถลงนโยบายต่อรัฐสภาในอีกไม่กี่วันข้างหน้า

รวมถึงโครงการอื่นๆ ที่เคยตกเป็นข่าวก่อนหน้านี้ อาทิ มาตรการ Easy e-Receipt, มาตรการท่องเที่ยวคนละครึ่ง, การเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณและการลงทุนของภาครัฐ และโครงการ/มาตรการอื่นๆ จะเสริมกำลังซื้อและกระตุ้นการหมุนเวียนของเม็ดเงินในระบบเศรษฐกิจไทย ในช่วงปลายปีนี้ ต่อเนื่องถึงต้นปี 2569

แน่นอนว่า…มาตรการทางภาษี ซึ่ง ดร.เอกนิติ นับเป็น ผู้ที่มีความรู้ ระดับเชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ตรง ทั้งในฐานะ…ผู้บริหารระดับสูงในฝั่งข้าราชการประจำ และในฐานะ นักวิชาการทางด้านเศรษฐศาสตร์ ดีกรี “อัครราชทูตฝ่ายเศรษฐกิจการคลัง” ประจำสหราชอาณาจักรและยุโรป และยังเคยทำหน้าที่ Senior Advisor” ของธนาคารโลก ณ กรุงวอชิงตันดีซี

ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง…ที่ถูกคาดหวังว่าจะได้นำมาใช้ในห้วงเวลาเร่งด่วนเช่นนี้...

แม้ในรายละเอียดจะยังหาข้อสรุปไม่ได้ชัดเจน! แต่ได้รับการยืนยันจาก ทีมงานของ “รองนายกฯและรมว.คลัง” แล้วว่า…มาตรการภาษีตัวใหม่ที่จะมีออกมาในห้วงเวลา 120 วันนับจากนี้ จะก่อประโยชน์ต่อระบบเศรษฐกิจในภาพรวม และผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย อย่างแน่นอน…

ล่าสุด กับการนำแถลงข่าวถึง บทบาทการดำเนินงานกรมสรรพสามิต ปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ภายใต้ยุทธศาสตร์ SMART Excise ของ ดร.กุลยา ตันติเตมิท อธิบดีกรมสรรพสามิต เมื่อช่วงสายวันที่ 20 กันยายน 2568 ที่ผ่านมา ก็สะท้อนภาพที่ว่า…

กรมภาษีแห่งนี้ พร้อมแล้วจะดำเนินงานตามนโยบายของรัฐบาลและกระทรวงการคลัง ภายใต้แผนยุทธศาสตร์ใหญ่ที่อิงไปกับ…ยุทธศาสตร์ ESG (สิ่งแวดล้อม, สังคม และธรรมภิบาล) และการจัดเก็บรายได้นำส่งรัฐบาล

โดยเฉพาะ แผนการผลักดันให้….กรมสรรพสามิต ก้าวไปสู่ความเป็น “กรม ESG” ก็เกิดขึ้นในยุคที่ ดร.เอกนิติ ทำหน้าที่อธิบดีกรมสรรพสามิต

ดร.กุลยา ระบุว่า…แม้เวลาของเธอกับการทำหน้าที่ “อธิบดีกรมสรรพสามิต” จะเหลืออีกไม่นานนัก (ก่อนจะย้ายไปทำหน้าที่ “อธิบดีกรมศุลกากร” ในวันที่ 1 ตุลาคมนี้) ทว่าตลอด 1 ปีที่ผ่านมา การกำหนดยุทธศาสตร์ SMART Excise ได้สร้างสิ่งต่างๆ ที่เป็นคุณต่อทุกภาคส่วน และก่อนจะถึงการส่งมอบงานให้กับอธิบดีฯคนใหม่ (ดร.พรชัย ฐีระเวช ปัจจุบัน ดำรงตำแหน่ง “ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.)” ) อย่างเป็นทางการ…

ทั้ง 2 คนได้หารือและส่งต่อแนวคิดเพื่อการสานต่อยุทธศาสตร์ข้างต้นกันไปแล้ว

“กรมสรรพสามิตมิได้เป็นเพียง หน่วยงานที่มีหน้าที่จัดเก็บรายได้เพื่อนำส่งรัฐบาลเพื่อใช้ในการพัฒนาประเทศ เท่านั้น หากแต่ยังคงมุ่งเน้นบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนนโยบายภาษีที่มีส่วนในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้ผลิตและผู้บริโภค ให้หันมาใส่ใจสุขภาพและสนับสนุนสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม อันเป็นพลังสำคัญในการผลักดันการเปลี่ยนผ่านเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน ครอบคลุมทั้งมิติด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ตลอดจนเสริมสร้างศักยภาพการแข่งขันของประเทศในระยะยาว

ดร.กุลยา กล่าวอีกว่า…ในช่วงปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ที่ผ่านมา แม้ กรมสรรพสามิตเผชิญความท้าทายหลายด้านทั้งเป้าหมายการจัดเก็บภาษีของรัฐบาลที่เพิ่มสูงขึ้น (Revenue Pressure) สถานการณ์ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและนโยบายการค้าระหว่างประเทศ แนวโน้มการชะลอตัวของการบริโภคในประเทศที่ลดลง อีกทั้ง ข้อจำกัดในการเข้าถึงสินเชื่อของผู้บริโภคอันเนื่องมาจากปัญหาหนี้ครัวเรือน ที่อยู่ในเกณฑ์สูง รวมทั้ง การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรรมผู้บริโภคที่เน้นการดูแลสุขภาพ และสนับสนุนสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างภาคอุตสาหกรรมของประเทศที่เพื่อให้แข่งขันในตลาดโลกได้

กระนั้น กรมสรรพสามิตยังสามารถขับเคลื่อนการดำเนินงานตามภารกิจต่าง ๆ ภายใต้ยุทธศาสตร์ SMART Excise ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีผลสำเร็จเป็นที่ประจักษ์ ด้วยความร่วมมือของบุคลากรทุกคนในองค์กร ประกอบด้วยรายละเอียดที่น่าสนใจ ดังนี้…

1. S: Sustainability มุ่งเน้นความยั่งยืน โดยเป็นเรื่องที่กรมสรรพสามิตให้ความสำคัญและจะยังคงมุ่งเน้นการดำเนินงานต่อเนื่องมาโดยตลอด ทั้งความยั่งยืนทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยผลสำเร็จที่สำคัญปีนี้ ได้แก่…

1.1  ด้านสิ่งแวดล้อม คือ การสร้างกลไกราคาคาร์บอนในภาษีน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน  เพื่อขับเคลื่อนประเทศไปสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ในปี ค.ศ. 2050 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ในปี ค.ศ. 2065 ซึ่งได้มีการออกกฎกระทรวงกำหนดพิกัดอัตราภาษี เพื่อแสดงกลไกราคาคาร์บอนในสินค้าน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน และออกประกาศกรมสรรพสามิต เพื่อกำหนดราคาคาร์บอน 200 บาทต่อตันคาร์บอน เพื่อสร้างความตระหนักให้กับผู้บริโภคและภาคอุตสาหกรรมให้เริ่มปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการบริโภคเชื้อเพลิงที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

โดยร่วมกับภาคเอกชน 2 ราย ได้แก่  บมจ. ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก (PTT OR) และ บมจ. บางจาก คอร์ปอเรชั่น ในการแสดงค่าการปล่อยคาร์บอนในการเติมน้ำมันแต่ละครั้ง และ กรมสรรพสามิตจะนำข้อมูลที่ได้ไปต่อยอดเพื่อศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภค เพื่อใช้ประกอบการเสนอนโยบายในเรื่องภาษีคาร์บอน ต่อไป

1.2  ด้านเศรษฐกิจ กรมสรรพสามิตเป็นหน่วยงานหลักในการดำเนิน มาตรการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าประเภทรถยนต์และรถจักรยานยนต์ (มาตรการ EV 3) และ มาตรการสนับสนุนการใช้ ยานยนต์ไฟฟ้าประเภทรถยนต์และรถจักรยานยนต์ ระยะที่ 2 (มาตรการ EV 3.5) ตามนโยบายรัฐบาล เพื่อผลักดันให้ประเทศไทยเป็น “ศูนย์กลางการผลิตและการใช้ยานยนต์แห่งอนาคต

ส่งผลให้ตั้งแต่มีการเริ่มมาตรการเมื่อเดือนมีนาคม 2565 จนถึงเดือนสิงหาคม 2568 มียอดจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้าสะสม จำนวน 233,802 คัน และรถยนต์จักรยานยนต์ไฟฟ้าสะสม จำนวน 71,667 คัน

“ในส่วนของ มาตรการ EV 3 พบว่า มีการจัดตั้งโรงงานได้ครบตามข้อตกลงแล้ว โดยแต่ละบริษัทอยู่ระหว่างการเร่งทยอยผลิตรถยนต์ไฟฟ้า ขณะที่ มาตรการ EV 3.5 ยังพอมีเวลาให้ผู้ประกอบการดำเนินการจัดตั้งโรงงานผลิตในไทย ทั้งนี้ หากผู้ประกอบการไม่สามารถทำการผลิตได้ตามข้อตกลง ก็จะต้องจ่ายเงินชดเชยเป็นเบี้ยปรับและเงินเพิ่มให้กับกรมสรรพสามิต โดยไม่มีข้อยกเว้น”

นอกจากนี้ ยังมีการขยายเวลาการลดอัตราภาษีสถานบริการเพื่อกระตุ้นภาคท่องเที่ยว โดยลดจากอัตราร้อยละ 10 เหลืออัตราร้อยละ 5 จากเดิมที่สิ้นสุดเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2567 ขยายต่อเนื่องไปจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2568 ส่งผลทำให้ผู้ประกอบการเข้าสู่ระบบสรรพสามิตเพิ่มขึ้น และสามารถจัดเก็บรายได้ภาษีสถานบริการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

โดยก่อนการลดอัตราภาษีในปี 2566 จัดเก็บได้จำนวน 138.77 ล้านบาท และในปี 2567 ซึ่งเป็นปีแรกที่ลดอัตราภาษีสามารถจัดเก็บได้จำนวน 182.15 ล้านบาท ในขณะที่ปี 2568 (1 ตุลาคม 2567 ถึง 31 สิงหาคม 2568) จัดเก็บได้จำนวน 199.73 ล้านบาท

อีกทั้งยังมี การปรับโครงสร้างภาษีน้ำมันเพื่อเสถียรภาพทางการคลัง โดย ปรับขึ้นภาษีกลุ่มน้ำมันเบนซินและกลุ่มน้ำมันดีเซล 1  บาทต่อลิตร แต่ไม่กระทบต่อราคาขายปลีก เนื่องจากมีการปรับลดเงินนำส่งกองทุนน้ำมัน ส่งผลให้กรมจัดเก็บรายได้ภาษีน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมันเพิ่มขึ้น ประมาณ 2,800 ล้านบาทต่อเดือน

และ ล่าสุดได้มีการกำหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิตรถยนต์โบราณขึ้นใหม่ โดยจัดเก็บภาษี ในอัตราร้อยละ 45 เพื่อส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการจัดแสดงรถยนต์โบราณในภูมิภาค รวมทั้ง ส่งเสริมอุตสาหกรรมบูรณะรถยนต์โบราณ (Restoration) ในประเทศ และเป็นการขยายฐานรายได้ใหม่ในการจัดเก็บภาษีสินค้ารถยนต์

“สำหรับ ภาษีสรรพสามิตรถยนต์โบราณ ถือเป็น โครงสร้างภาษีรถยนต์ตัวใหม่ หลังจากที่ไม่มีออกมาเป็นเวลานานแล้ว ส่วน คำจำกัดความของรถยนต์โบราณ ก็ไม่ต่างจากที่ทั่วโลกกำหนดไว้ คร่าวๆ คือ ต้องเป็น รถยนต์เก่าที่ไม่ใช่รถตลาดและมีอายุ 30 ปีขึ้นไป มีการจัดทำป้ายทะเบียนรถยนต์เป็นการเฉพาะสำหรับรถยนต์โบราณ ที่เห็นก็รู้ได้ทันที อีกทั้งยังมีการ จำกัดการวิ่ง เช่น วิ่งได้เฉพาะวันหยุด หรือวันหยุดนักขัตกฤษ์ ส่วนวันปกติจะนำออกมาวิ่งไม่ได้ ยกเว้น! มีการขออนุญาตหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อการจัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยว เท่านั้น คาดว่า กรมสรรพสามิตจะมีรายได้ในส่วนนี้ประมาณ 1,000 – 2,000 ล้านบาทต่อปี

1.3  ด้านสังคม กรมสรรพสามิตได้ดำเนินนโยบายส่งเสริมสุราชุมชน เพื่อต่อยอดนโยบายการส่งเสริม Soft Power ของประเทศ โดยปรับปรุงกฎหมายและระเบียบต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมผู้ผลิตสุราชุมชน
ลดอุปสรรคต่อผู้ประกอบการรายใหม่
ส่งเสริมการแข่งขันที่เป็นธรรม และสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจในระดับฐานรากทำให้มีผู้ประกอบการในระบบ 1,824 ราย เพิ่มขึ้นร้อยละ 5 และจัดเก็บภาษีสุราชุมชนได้จำนวน 1,246 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 8 และได้มีการ ปรับขึ้นอัตราภาษีเครื่องดื่มตามความหวาน ระยะที่ 4 โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2568 เพื่อสร้างแรงจูงใจให้ภาคอุตสาหกรรมปรับสูตรการผลิต

ส่งผลให้ปัจจุบันมีเครื่องดื่มที่ได้รับเครื่องหมายทางเลือกเพื่อสุขภาพ (Healthier Choice) จำนวน 3,411 ผลิตภัณฑ์

2. M: Modernization พัฒนาการจัดเก็บภาษีให้ทันสมัย โดยเน้นการปรับปรุงกฎหมายให้ทันสมัย พร้อมกับการทำ Digital Transformation โดยได้รับผลสำเร็จที่สำคัญ ได้แก่ อาทิ…

2.1  การปรับกฎหมายและพัฒนาระบบอนุมัติฉลากดิจิทัลเต็มรูปแบบ (D-Label)เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบอุตสาหกรรมผลิตสุรา

2.2  การปรับกฎหมายและพัฒนาระบบใบอนุญาตอิเล็กทรอนิกส์ (D-License) แบบ End to End Service โดยสามารถยื่นเอกสาร ชำระค่าธรรมเนียม และได้รับใบอนุญาตอิเล็กทรอนิกส์เบ็ดเสร็จผ่าน Mobile Application เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ขอใบอนุญาตสุรา ยาสูบและไพ่ ซึ่งในปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 1 ล้านใบอนุญาต

2.3  การเพิ่มประสิทธิภาพการสำรวจราคา โดยใช้ระบบสำรวจราคาขายสินค้าประเภทสุรา เบียร์ ยาสูบ และ เครื่องดื่ม (Excise Price Survey) โดยกำหนดให้ผู้ประกอบขายสินค้าสุราและยาสูบที่ได้รับใบอนุญาตประเภทที่ 2 แจ้งราคาขายปลีกผ่านระบบสำรวจราคาขายปลีกสินค้าสรรพสามิต เพื่อให้ได้ข้อมูลการวิเคราะห์ความคลาดเคลื่อนของราคาขายปลีกจริงกับราคาขายปลีกแนะนำ โดยระบบนี้ได้นำมาทดแทนการสำรวจราคา โดยเจ้าหน้าที่กรมสรรพสามิต

นอกจากนั้น ยังมีการปรับปรุงกฎหมายให้ทันสมัยหลายเรื่องที่เกี่ยวกับการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี เช่น กฎหมายเกี่ยวกับสิทธิเสียภาษีในอัตราศูนย์สุราสามทับแปลงสภาพเพื่อส่งออก การเสียภาษีในอัตราตามมูลค่าสำหรับเครื่องดื่ม กฎหมายเกี่ยวกับสินค้าที่นำไปใช้เป็นวัตถุดิบหรือส่วนประกอบทำสิ่งของอื่น                 เพื่อส่งออก และการยกเว้นหรือคืนภาษีสำหรับสินค้าส่งออก และสินค้าที่ผู้ประกอบการมีสิทธิได้รับคืนหรือยกเว้นภาษี  

3. A: Accountability เสริมสร้างความรับผิดชอบ ความโปร่งใส และการกำกับดูแลที่ดี โดยกรมสรรพสามิตได้พัฒนากลไกการปฏิบัติงานให้มีความทันสมัยและตอบสนองต่อสถานการณ์การกระทำผิดที่ซับซ้อนมากยิ่งขึ้น ผ่านการใช้ระบบเทคโนโลยีดิจิทัลและ Dashboard ในการติดตาม ตรวจสอบ และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงพื้นที่แบบเรียลไทม์ ส่งผลให้สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำมากขึ้น โดยมีผลสำเร็จที่สำคัญปีนี้ ได้แก่ การลงนาม MOU กับบริษัทขนส่งพัสดุเอกชน เช่น J&T และ KEX เพื่อยกระดับความร่วมมือในการปราบปรามการลักลอบขนส่งสินค้าหนีภาษีผ่านช่องทางของบริษัทขนส่งพัสดุเอกชน ส่งผลทำให้สามารถจับกุมดำเนินคดีได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งสินค้าสุรา ยาสูบ น้ำมัน และสินค้าอื่น ๆ โดยในช่วง 11 เดือนของปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 สามารถจับกุมและดำเนินคดีได้ทั้งสิ้น 33,766 คดี สูงกว่าปีก่อนร้อยละ 8.69 และสูงกว่าเป้าหมายร้อยละ 37.33 ตลอดจนมีการนำเงินส่งคลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยสามารถนำเงินส่งคลังได้จำนวน 497.95 ล้านบาท สูงกว่าปีก่อนร้อยละ 27.74 และสูงกว่าเป้าหมายร้อยละ 64.12

4. R: Revenue Collection กรมสรรพสามิตสามารถจัดเก็บรายได้ภาษีสรรพสามิตในรอบ 11 เดือน (1 ตุลาคม 2567 ถึง 31 สิงหาคม 2568) ได้จำนวน 489,564.14 ล้านบาท สูงกว่าปีก่อนร้อยละ 1.61 โดยคาดว่าในงบประมาณ 2568 กรมสรรพสามิตจะสามารถเก็บภาษีได้ตามเป้าหมายที่กระทรวงการคลังกำหนดที่จำนวน 535,000 ล้านบาท หรือสูงกว่าปีก่อนร้อยละ 2.17

5. T: Technology and Innovation-Driven ยกระดับการทำงานด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลและนวัตกรรม  มีผลสำเร็จที่สำคัญปีนี้ ได้แก่…

5.1  จัดทำระบบควบคุมและติดตามการขนส่งสินค้าน้ำมันที่ส่งออกนอกราชอาณาจักรทางบก ด้วยอุปกรณ์ซีลอิเล็กทรอนิกส์ (e-Seal) เพื่อยกระดับมาตรการกำกับดูแลการส่งออกน้ำมันให้มีความรัดกุม โปร่งใส และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น รวมทั้ง ลดความเสี่ยงจากการลักลอบนำน้ำมันที่ส่งออกไปแล้วกลับเข้ามาจำหน่ายในประเทศ อันจะช่วยป้องกันการสูญเสียรายได้ของรัฐและเสริมสร้างความเป็นธรรมทางการค้า

5.2  จัดทำระบบตรวจสอบติดตามและแกะรอย (Track & Trace) สำหรับสินค้ายาสูบชนิดบุหรี่ซิกาแรตที่ผลิตและนำเข้า ซึ่งเป็นการนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการทางด้านภาษี และสนับสนุนการปราบปราม ในการแยกบุหรี่ซิกาแรตในระบบและนอกระบบออกจากกันได้อย่างชัดเจน

ดร.กุลยา ยืนยันด้วยความั่นใจ ว่า…จากการยกระดับการดำเนินงานด้านต่าง ๆ ภายใต้ยุทธศาสตร์ SMART Excise ส่งผลให้ปีนี้ กรมสรรพสามิตได้รับรางวัลสำคัญ รวมทั้งสิ้น 6 รางวัล ได้แก่…

1) รางวัล Prime Minister Awards :Thailand Cybersecurity Excellence Awards 2024 สำหรับ องค์กรที่มีผลงานโดดเด่นในการป้องกันและรับมือภัยคุกคามไซเบอร์

2) รางวัลองค์กรต้นแบบการขับเคลื่อนการจัดทำบัญชีข้อมูลภาครัฐ (Excellent Award)

3) รางวัลเลิศรัฐยอดเยี่ยม

4) รางวัลคุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐ 4.0 ระดับพัฒนาจนเกิดผล (Significant)

5) รางวัลบริการภาครัฐ ประเภทบริการตอบโจทย์ ตรงใจ: ระดับดีเด่น ผลงาน “D-Label ระบบอนุมัติฉลากดิจิทัลเต็มรูปแบบ”

และ 6) รางวัลการบริหารราชการแบบมีส่วนร่วม ประเภทเปิดใจใกล้ชิดประชาชน : ระดับดีเด่น ผลงาน “Excise Sustainable Collaboration กรมสรรพสามิตสร้างการมีส่วนร่วมอย่างยั่งยืน”

กรมสรรพสามิตจะยังคงมุ่งเน้นในการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ SMART Excise อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ทุกหน่วยงานภายในกรมสรรพสามิตใช้ในขับเคลื่อนองค์กรไปในทิศทางเดียวกัน และต่อยอดความสำเร็จให้กรมสรรพสามิตได้อย่างเป็นรูปธรรม และขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนในระยะยาวต่อไป อธิบดีกรมสรรพสามิต กล่าวทิ้งท้าย

อย่างที่เกริ่นในตอนนั้น ในห้วงที่มีการเปลี่ยนแปลงในระดับ “ผู้บริหารองค์กร” ของหน่วยงานภาครัฐ โดยเฉพาะ กระทรวงการคลัง ซึ่งถือเป็น “หัวใจสำคัญ” ในการขับเคลื่อนนโยบายระดับเศรษฐกิจมหภาคและระดับจุลภาคของรัฐบาล

ทว่า กับการเคลื่อนย้ายตำแหน่งและหน้าที่ ไม่อาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานในระดับปฏิบัติการมากนัก เนื่องจาก…ความเชื่อมโยงและส่งต่อแนวคิดเชิงยุทธศาสตร์

เช่นกัน…แม้ ดร.กุลยา กำลังจากไปเพื่อรับบทบาทและหน้าที่ใหม่ ทว่า “คนใหม่” ที่จ่อคิว…รอเข้ามา อย่าง ดร.พรชัย ก็พร้อมแล้ว ที่จะสานต่อภารกิจ…ผลักดัน “กรม ESG” แห่งนี้ ก้าวสู่วิถีแห่งอนาคต…ที่โลกกำลังถวิลหา ภายใต้ แผนยุทธศาสตร์ SMART Excise ที่ว่านี้!!!.

Login

Welcome! Login in to your account

Remember me Lost your password?

Lost Password