ส.อ.ท.เกาะติด 3 ความขัดแย้งภูมิรัฐศาสตร์ใกล้ชิด ส่งสัญญาณทุกฝ่ายเตรียมรับมือ
“เกรียงไกร เธียรนุกูล” ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เกาะติด 3 ความขัดแย้งภูมิรัฐศาสตร์ใกล้ชิด ส่งสัญญาณทุกฝ่ายเตรียมรับมือหากบานปลาย หวั่นกระทบไทยอ่วม
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ส.อ.ท.ได้เฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์ความขัดแย้งทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ของโลกอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะใน 3 สมรภูมิหลักสำคัญ ตั้งแต่การเกิดขึ้นของการสู้รบระหว่างรัสเซียกับยูเครน และ ล่าสุดกรณีการสู้รบระหว่างอิสราเอลกับขบวนการฮามาส (Hamas) ซึ่งเป็นกลุ่มติดอาวุธอิสลามิสต์ปาเลสไตน์ พร้อมกันนี้ยังรวมถึงบริเวณทะเลจีนใต้ที่เริ่มมีความขัดแย้งเพิ่มขึ้น ซึ่งความขัดแย้งดังกล่าวหากบานปลายย่อมส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก และไทยทั้งทางตรงและทางอ้อม จึงจำเป็นที่ทุกฝ่ายต้องวางแผนรับมือเอาไว้
โดยผลกระทบการสู้รบรัสเซีย-ยูเครนจะเห็นได้ชัดเจนในด้านราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น และวัตถุดิบต่างๆ โดยเฉพาะปุ๋ย ทำให้ต้นทุนการผลิตและกระทบต่อราคาสินค้าปรับขึ้น ขณะที่การสู้รบในอิสราเอลหากจำกัดพื้นที่จะกระทบราคาน้ำมันให้ผันผวนระดับสูงระยะสั้นเท่านั้นแต่ในส่วนอื่นๆจะกระทบไม่มาก แต่หากสถานการณ์บานปลายมีหลายชาติพันธมิตรเข้าร่วมในการทำสงครามอาจจะส่งผลให้สงครามยืดเยื้อและมีผลกระทบมากขึ้นเนื่องจากภูมิภาคตะวันออกกลางเป็นผู้ส่งออกน้ำมันดิบที่สำคัญของโลกจะส่งผลราคาน้ำมันอาจเห็นระดับ 100 เหรียญ/บาร์เรลขึ้นไปได้เช่นกัน
ทั้งนี้สถานการณ์ในทะเลจีนใต้นั้นหากเกิดขึ้นจะกระทบไทยมากที่สุดเนื่องจากในบริเวณดังกล่าวจะเกี่ยวข้องกับเส้นทางขนส่งทั้งด้านพลังงาน สินค้าต่างๆเป็นเส้นทางการค้าที่สำคัญที่จะกระทบต่อห่วงโซ่การผลิตของอุตสาหกรรมต่างๆจะสะดุดลง ซึ่งจะกระทบต่อเศรษฐกิจไทยค่อนข้างสูงหากเกิดขึ้น จึงได้แต่หวังว่าเหตุการณ์ในภูมิภาคนี้จะไม่ซ้ำรอยเช่นภูมิภาคอื่น
สำหรับประเทศไทยระยะสั้นคงได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันที่ปรับเพิ่มขึ้นซึ่งภาครัฐก็ได้เข้ามาดูแลส่วนของดีเซลและค่าไฟฟ้าก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี แต่อย่าลืมว่าหากบานปลายไทยเป็นประเทศนำเข้าพลังงานทั้งน้ำมันและก๊าซฯจะกระทบหนัก ขณะที่มาตรการดูแลพลังงานโดยเฉพาะดีเซลจะสิ้นสุดใน 31 ธ.ค.66 หากสถานการณ์ยืดเยื้อในปี 2567 จำเป็นที่ทุกฝ่ายต้องเตรียมมาตรการต่างๆไว้ดูแลเศรษฐกิจ.