อุตฯกุ้งใต้วิกฤต เสียหายพันล้านหลังน้ำท่วมใหญ่ ส.กุ้งไทยจี้รัฐชงวาระแห่งชาติฟื้นฟูด่วน 3 ธ.ค.นี้

อุตสาหกรรมกุ้งภาคใต้เสียหายหนักจากน้ำท่วม มูลค่ากว่าพันล้านบาท สมาคมกุ้งไทยเตรียมยื่นนายกฯ 3 ธ.ค. เร่งฟื้นฟูและผลักดันเป็นวาระแห่งชาติ

วันที่ 1 ธันวาคม 2568 นายเอกพจน์ ยอดพินิจ นายกสมาคมกุ้งไทย กล่าวว่า อุตสาหกรรมกุ้งในพื้นที่ภาคใต้ ซึ่งคิดเป็นราว 11% ของปริมาณการเลี้ยงกุ้งทั่วประเทศ หรือประมาณ 270,000–280,000 ตันต่อปี มูลค่ากว่า 4,000 ล้านบาท กำลังเผชิญความเสียหายรุนแรงจากสถานการณ์น้ำท่วมครั้งล่าสุด โดยเฉพาะ สงขลา พัทลุง และปัตตานี
“ประเมินเบื้องต้นว่า ความเสียหายเฉพาะผลผลิตอยู่ที่ประมาณ 500 ล้านบาท หากรวมเครื่องมือและปัจจัยการผลิตที่ถูกน้ำพัดสูญหาย มูลค่าความเสียหายอาจสูงกว่า 1,000 ล้านบาท โดยวันที่ 3 ธันวาคมสมาคมจะทำหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี ในการเร่งฟื้นฟูและขอมาตรการช่วยเหลือต่างๆ ภายในวงเงิน 1 พันล้านบาท พร้อมกับเตรียมทำหนังสือถึงทุกพรรคการเมือง ถามถึงนโยบายช่วยเหลืออุตสาหกรรมกุ้งอย่างไร โดยเฉพาะทวงแผนงานอละงบประมาณ 5.4 พันล้านบาท ในการฟื้นฟูผลผลิตกุ้งให้แตะ 4 แสนตัน จากปัจจุบัน 2.7 แสนตัน”

นายเอกพจน์ กล่าวว่า ผู้เลี้ยงกุ้งจำนวนมากในพื้นที่ท่วมได้รับผลกระทบหนัก ทั้งบ่อกุ้งเสียหาย อาหารกุ้งและลูกกุ้งถูกน้ำพัด มอเตอร์ไฟฟ้าและอุปกรณ์สำคัญใช้การไม่ได้ พร้อมเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งลงพื้นที่สำรวจความเสียหาย และจัดทำมาตรการฟื้นฟูอย่างเร่งด่วน
สำหรับข้อเสนอเบื้องต้น ได้แก่ 1.การสนับสนุนปัจจัยการผลิตใหม่ เช่น มอเตอร์ไฟฟ้า อาหารกุ้ง และลูกกุ้ง2.การให้สินเชื่อดอกเบี้ย 0% ระยะเวลา 1–2 ปี เพื่อให้ผู้เลี้ยงมีโอกาสกลับมาตั้งตัว 3.การสนับสนุนการปรับเปลี่ยนระบบการผลิตสู่ low carbon โดยอาจให้กระทรวงพลังงานเข้ามามีบทบาทช่วยเหลือ
“ สมาคมกุ้งไทย เตรียมจัดทำหนังสือเสนออย่างเป็นทางการถึงนายกรัฐมนตรีและกระทรวงเกษตรฯ เพื่อผลักดันมาตรการช่วยเหลือและฟื้นฟูผู้เลี้ยงกุ้งในพื้นที่ภาคใต้โดยด่วน”
ทั้งนี้ ประเทศไทยมีผู้เลี้ยงกุ้งรวมราว 20,000 ราย โดยผู้เลี้ยงในภาคใต้คิดเป็นอย่างน้อย 10% อุตสาหกรรมกุ้งถือเป็นหนึ่งในภาคการผลิตสำคัญของประเทศ มูลค่าตลาดรวมกว่า 100,000 ล้านบาท จึงมีความกังวลว่าหากไม่ได้รับการฟื้นฟูอย่างทันท่วงที อาจส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อาหารทะเลและการส่งออกของไทยในระยะยาว
นายเอกพจน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ผลผลิตกุ้งไทยปี 2568 มีปริมาณ 270,000 ตัน เท่ากับปีที่ผ่านมา โดยปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการผลิตกุ้งไทยในปีนี้มาจากสภาพอากาศที่แปรปรวนในช่วงต้นปีและปริมาณฝนที่เพิ่มขึ้น ส่งผลกระทบต่อการเลี้ยงของเกษตรกร โดยเฉพาะคุณภาพน้ำและโรคระบาด โดยเฉพาะโรคขี้ขาว และโรคตัวแดงดวงขาว เกษตรกรจึงจับกุ้งเร็วกว่ากำหนด รวมถึงมหาอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ ที่สร้างความเสียหายรุนแรงในพื้นที่จังหวัดสงขลา สตูล และปัตตานี โดยสัดส่วนผลผลิตหลักมาจากภาคใต้ตอนบน มีสัดส่วน 37% ภาคใต้ตอนล่างฝั่งอันดามัน 62,000 ตัน คิดเป็น 23% ภาคตะวันออก 19% ภาคใต้ตอนล่างฝั่งอ่าวไทย 11% และภาคกลาง 10% โดยทุกภาคมีผลผลิตใกล้เคียงกับปีผ่านมา
สำหรับภาพรวมการส่งออกกุ้ง 10 เดือนแรก (ม.ค.-ต.ค. 2568 ) ปรับตัวลดลง 6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนทั้งปริมาณ และมูลค่า (ตามตาราง) จากหลายปัจจัยทั้งภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัวส่งผลต่อตลาดคู่ค้าสำคัญทั้งญี่ปุ่น จีน และสหรัฐ
อย่างไรก็ตาม ในปีนี้ตลาดในประเทศเติบโตอย่างมีนัยยะสำคัญ จากสถานการณ์การบริโภคกุ้งที่ดีขึ้น โดยขณะนี้สัดส่วนการบริโภคกุ้งในประเทศคิดเป็นประมาณ 15% ของผลผลิตกุ้งทั้งหมด
“ราคากุ้งปีนี้อยู่ในเกณฑ์ดี ผลจากการบริโภคกุ้งในประเทศเพิ่มขึ้น ทำให้ราคากุ้งครึ่งปีแรกสูงขึ้น 10-15% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นแรงจูงใจในการลงกุ้งเพิ่ม แต่ในปลายไตรมาส 3 ราคากุ้งอ่อนตัวลงเล็กน้อย 5-10% เพราะปริมาณฝนมากขึ้นเกษตรกรจึงเร่งจับกุ้งก่อนกำหนด”
สถานการณ์ผลผลิตกุ้งโลก ปี 2568 คาดว่าจะมีปริมาณ 5.22 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 4% โดยประเทศผู้ผลิตหลักเพิ่มขึ้นทุกประเทศ โดยเฉพาะเอกวาดอร์ ผลิต 1.4 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 4% ตามด้วย จีน ผลิตได้ 1.34 ล้านตันเพิ่มขึ้น 6% ขณะที่สถานการณ์ผลผลิตกุ้งไทย ปี 2568 มีปริมาณ 270,000 ตันทรงตัวเทียบเท่ากับปีที่ผ่านมา
ส่วนผลกระทบจากอุทกภัยครั้งใหญ่ความเสียหายจากการสูญเสียกุ้งในบ่อประมาณ 1,000 ล้านบาท โดยปริมาณผลผลิตจากพื้นที่ที่ประสบอุทกภัยครั้งนี้ คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 10% ของผลผลิตทั้งหมด แต่นอกจากความเสียหายต่อผลผลิตกุ้งในบ่อแล้ว ยังมีความเสียหายของเครื่องตีน้ำและอุปกรณ์ต่างๆ ในฟาร์ม ซึ่งอยากเรียกร้องไปยังรัฐบาล โดยเฉพาะกระทรวงพลังงาน ในการจัดงบประมาณเพื่อช่วยเหลือฟื้นฟูเกษตรกรในการซื้ออุปกรณ์ที่ใช้ในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในพื้นที่ภาคใต้อย่างเร่งด่วน เพื่อให้สามารถกลับมาเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำได้ทันในครอปหน้า
ในปี 2569 เป็นปีที่มีความสำคัญ เพราะถือเป็นจุดพลิกฟื้นอุตสาหกรรม มีปัจจัยที่เอื้อให้กุ้งไทยมีโอกาสทางการตลาด โดยเฉพาะอัตราภาษีตอบโต้ หรือ Reciprocal ในตลาดส่งออกหลักอย่างสหรัฐ ที่ปรับขึ้นอัตราภาษีการนำเข้าจากประเทศต่างๆ รวมถึงมาตรการภาษี AD, CVD ซึ่งทำให้อินเดียซึ่งครองส่วนแบ่งตลาดอันดับหนึ่ง แต่ต้องเสียภาษีรวมสูงถึง 50-60% เทียบกับไทยที่มีอัตราภาษีเพียง 19% ซึ่งจะทำให้ไทยมีความสามารถในการแข่งขันด้านราคามากขึ้น
สมาคมฯ ขอเสนอให้ภาครัฐเร่งผลักดันการแก้ปัญหาการผลิตกุ้ง ให้เป็นวาระแห่งชาติ เพื่อเพิ่มผลผลิตกุ้งคุณภาพให้ได้ตามเป้า 400,000 ตัน เพื่อสร้างความมั่นใจให้ห้องเย็นในการรับออร์เดอร์ เร่งเจรจาความตกลงการค้าเสรีกับประเทศนำเข้ากุ้ง ได้แก่ สหภาพยุโรป อังกฤษ และเกาหลีใต้ พร้อมทั้งยกระดับการฟาร์มกุ้งให้สามารถปรับตัวเข้าสู่การรับรองมาตรฐานสากลที่ตลาดต้องการ รวมถึงการดำเนินโครงการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำคาร์บอนต่ำ เพื่อตอบโจทย์ตลาดโลกที่ให้ความสำคัญเรื่องการสร้างความยั่งยืนมากขึ้น
“ฝากไปถึงพรรคการเมืองที่จะเสนอตัวเป็นรัฐบาลในสมัยหน้า ต้องมีการกำหนดนโยบายภาคการเกษตร โดยเฉพาะการส่งเสริมอุตสาหกรรมกุ้ง ให้กลับมามีความเข้มแข็ง และพ้นจากหล่มผลผลิต 270,000 ตัน ให้ได้เพราะที่ผ่านมาไทยติดอยู่กับปัญหาโรคกุ้ง จนเสียโอกาสไปมากแล้ว ปี 2569 เป็นปีที่ตลาดเปิดเต็มที่ แต่เราต้องผลิตกุ้งให้ได้ เพื่อคว้าโอกาสทางการตลาดนี้กลับมา” นายเอกพจน์ กล่าว.


