สนค.ชี้! ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคไหลสู่ระดับเชื่อมั่นครั้งแรกในรอบ 7 ด. ชี้! 3 ด.ข้างหน้ายังคงสูงต่อเนื่อง

ผอ.สนอ. เผย! ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ต.ค. 2568 ปรับขึ้นต่อเนื่องแตะระดับสูงสุดในรอบ 7 เดือน สะท้อนความมั่นใจต่อเศรษฐกิจ ผลจากแนวโน้มส่งออกและฤดูกาลท่องเที่ยวดีขึ้น แถมรับอานิสงส์จาก “คนละครึ่ง พลัส” เตือนต้องจับตาภาระหนี้และความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกฉุดความเชื่อมั่นในระยะต่อไป ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคอีก 3 เดือนข้างหน้า คาดยังอยู่ในระดับสูงที่ 57.6 ผลจาก 3 ปัจจัยเด่นข้างต้น

นายนันทพงษ์ จิระเลิศพงษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (ผอ.สนค.) เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชน จำนวน 6,437 ราย ซึ่งครอบคลุมประชาชนทั่วประเทศ พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยรวม เดือนตุลาคม 2568 ปรับตัวเข้าสู่ระดับความเชื่อมั่นในรอบ 7 เดือน ที่ระดับ 50.9 สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของประชาชนที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องในช่วงเดือนที่ผ่านมา จากการประกาศใช้มาตรการการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐและการเข้าสู่ช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวในช่วงปลายปี อย่างไรก็ตาม จากปัญหาทางการเงิน ทั้งหนี้สินและค่าใช้จ่ายที่อยู่ในระดับสูงของประชาชน รวมถึง บรรยากาศความไม่แน่นอนของสถานการณ์โดยรวมในประเทศ อาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นของประชาชนจึงจำเป็นต้องติดตามอย่างใกล้ชิดต่อไป

ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยรวม เดือนตุลาคม 2568 อยู่ที่ระดับ 50.9 ปรับตัวสูงขึ้นมาอยู่ในช่วงเชื่อมั่นเป็นครั้งแรกในรอบ 7 เดือน (เดือน ก.ย.68 อยู่ที่ระดับ 49.4) สำหรับ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในอนาคต (3 เดือนข้างหน้า) อยู่ที่ระดับ 57.6 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับ 56.0 ในเดือนก่อนหน้า โดยปัจจัยที่ส่งผลให้ดัชนีอยู่ในระดับเชื่อมั่น คาดว่า มาจาก…
1. การเร่งขับเคลื่อนนโยบายของภาครัฐ อาทิ โครงการคนละครึ่ง พลัส และการเพิ่มวงเงินสวัสดิการให้กับผู้ที่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เพื่อช่วยเหลือบรรเทาภาระค่าครองชีพของประชาชนและสนับสนุนภาคธุรกิจ รวมถึง นโยบายอื่น ๆ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้นและสร้างผลกระทบต่อเนื่องในระยะยาว
2. ภาคการท่องเที่ยวขยายตัว จากการเพิ่มขึ้นของจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งชาวต่างชาติและชาวไทยในช่วงวันหยุดยาวและฤดูกาลท่องเที่ยวปลายปี ตลอดจน การจัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยว จะช่วยเพิ่มรายได้ให้กับธุรกิจการค้าและบริการ
และ (3) ภาพรวมการส่งออกยังเติบโตได้ดี

อย่างไรก็ตาม ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในปัจจุบัน อยู่ที่ระดับ 40.9 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับ 39.6 ในเดือนก่อนหน้า โดยปัจจัยที่ส่งผลให้ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในปัจจุบัน อยู่ในระดับไม่เชื่อมั่น คาดว่า มาจากหลายปัจจัย อาทิ ความกังวลของประชาชนต่อภาพรวมเศรษฐกิจไทยที่เติบโตได้ช้า ภาระหนี้สินและค่าใช้จ่ายของประชาชนและภาคธุรกิจที่ยังอยู่ในระดับสูง แม้จะได้รับการช่วยเหลือจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชนไปบางส่วนแล้ว และสินค้าเกษตรสำคัญของไทยที่เผชิญกับการแข่งขันสูงในตลาดโลก
นอกจากนี้ สถานการณ์ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างประเทศ และการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกที่อาจส่งผลต่อภาคการผลิต การจ้างงานและการส่งออกของไทย โดยเป็นประเด็นที่ต้องติดตามใกล้ชิด เพราะอาจจะเป็นแรงกดดันที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นในระยะต่อไป
ส่วน ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นผู้บริโภค พบว่า ด้านเศรษฐกิจไทยส่งผลต่อความเชื่อมั่นผู้บริโภคมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 49.51 รองลงมา คือ มาตรการของภาครัฐ ร้อยละ 16.03 สังคม/ความมั่นคง ร้อยละ 8.17 เศรษฐกิจโลก ร้อยละ 8.08 ราคาสินค้าเกษตร ร้อยละ 7.58 การเมือง ร้อยละ 6.54 ผลจากราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ร้อยละ 1.93 ภัยพิบัติ/โรคระบาด ร้อยละ 1.40 และ อื่น ๆ ร้อยละ 0.76 ตามลำดับ

ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคจำแนกรายภูมิภาค จำนวน 5 ภูมิภาค พบว่า ดัชนีอยู่ในช่วงเชื่อมั่น 3 ภาค ได้แก่ กรุงเทพมหานครและปริมณฑล อยู่ที่ระดับ 56.0 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อยู่ที่ระดับ 52.9 และภาคใต้ อยู่ที่ระดับ 51.1 ในขณะที่ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ภาคเหนือ อยู่ที่ระดับ 48.6 ซึ่งแม้อยู่ในระดับต่ำกว่าช่วงเชื่อมั่น แต่ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนเล็กน้อย และ ภาคกลาง คงที่อยู่ที่ระดับ 48.8
ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคจำแนกรายอาชีพ จำนวน 7 อาชีพ พบว่า ความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้นในทุกกลุ่มอาชีพ โดยมี 4 กลุ่มอาชีพที่ดัชนีอยู่ในช่วงเชื่อมั่น ได้แก่ พนักงานของรัฐ อยู่ที่ระดับ 55.1 นักศึกษา อยู่ที่ระดับ 53.1 ผู้ประกอบการ อยู่ที่ระดับ 53.0 และ พนักงานเอกชน อยู่ที่ระดับ 50.0 ในขณะที่มี 3 กลุ่มอาชีพที่ดัชนีอยู่ต่ำกว่าช่วงเชื่อมั่น โดย ไม่ได้ทำงาน/บำนาญ อยู่ที่ระดับ 49.8 เกษตรกร อยู่ที่ระดับ 49.4 และ อาชีพรับจ้างอิสระ อยู่ที่ระดับ 49.2 สำหรับ กลุ่มผู้เชี่ยวชาญ พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคอยู่ที่ระดับ 46.9 เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าแต่ยังอยู่ต่ำกว่าช่วงเชื่อมั่น
นายนันทพงษ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนตุลาคม 2568 ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและเข้าสู่ระดับความเชื่อมั่นในรอบ 7 เดือน สะท้อนถึงความเชื่อมั่นต่อสถานการณ์เศรษฐกิจในประเทศที่เพิ่มขึ้น ทั้งจากแนวโน้มการส่งออกที่ยังขยายตัวและความหวังต่อภาคการท่องเที่ยวจากการเข้าสู่ฤดูกาลท่องเที่ยวและเทศกาลสำคัญในช่วงปลายปี รวมไปถึง การประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โครงการคนละครึ่ง พลัส ที่มีการประกาศความชัดเจนของโครงการในเดือนตุลาคมยิ่งเป็นแรงผลักให้ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคปรับตัวเพิ่มมากขึ้นและลดความกังวลของประชาชนอย่างมีนัยสำคัญ
อย่างไรก็ตาม แม้มาตรการการกระตุ้นเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น มีแนวโน้มช่วยบรรเทาความกังวลได้อย่างชัดเจน แต่ปัญหาภาระค่าใช้จ่ายและหนี้สินของประชาชนและภาคธุรกิจที่อยู่ในระดับสูง ยังคงเป็นปัจจัยหลักที่สร้างความกังวลและเป็นแรงกดดัน ต่อความเชื่อมั่นของประชาชนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ประกอบกับ ความไม่แน่นอนของสถานการณ์ทางสังคมและสถานการณ์การแข่งขันทางการค้าระหว่างประเทศที่รุนแรงขึ้นอาจเป็นแรงกดดันต่อความเชื่อมั่นของประชาชนในอนาคตจึงจำเป็นต้องติดตามสถานการณ์ดังกล่าวอย่างใกล้ชิด
ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์จะยังคงเดินหน้ามาตรการที่เกี่ยวข้องเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจและลดความกังวลของประชาชน อาทิ มาตรการธงฟ้าราคาประหยัดเพื่อการบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน พร้อมทั้ง การเตรียมความพร้อมสำหรับภาคธุรกิจ MSME เพื่อเปิดโอกาสและศักยภาพใหม่ในการพัฒนาธุรกิจ และ เสริมสร้างข้อมูลสำหรับผู้ประกอบการต่าง ๆ เพื่อให้สามารถนำไปใช้ในการปรับปรุงกลยุทธ์และเพิ่มขีดความสามารถในการดำเนินธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมไปถึง การเตรียมความพร้อมสำหรับสถานการณ์การท่องเที่ยวและเทศกาลช่วงปลายปี อาทิ การควบคุมราคาสินค้าในช่วงเทศกาล และส่งเสริมการกระจายรายได้สู่ชุมชนในช่วงเวลาสำคัญ ซึ่งจะช่วย ลดความกังวลของประชาชนและส่งเสริมบรรยากาศเชิงบวกที่เอื้อต่อการใช้จ่ายและกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ ซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจในภาพรวม.


																				
																				



