ไทยออยล์ วิเคราะห์ราคาน้ำมันดิบยังคงมีแนวโน้มผันผวน จากความขัดแย้งในยุโรปตะวันออก

ไทยออยล์ วิเคราะห์สถานการณ์น้ำมันประจำสัปดาห์ โดยราคาน้ำมันดิบมีแนวโน้มผันผวน จากความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน และสหรัฐฯ-อิหร่าน ท่ามกลาง คาดการณ์เพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันดิบต่อเนื่องของ OPEC คาดราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสในสัปดาห์นี้จะเคลื่อนไหวที่กรอบ 58-68 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ส่วนน้ำมันดิบเบรนท์เคลื่อนไหวที่กรอบ 60-70 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล
แนวโน้มสถานการณ์ราคาน้ำมันดิบ (6 – 12 มิ.ย. 68)
ราคาน้ำมันดิบยังคงมีแนวโน้มผันผวนเนื่องจากความขัดแย้งในยุโรปตะวันออกระหว่างรัสเซีย และยูเครนยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง ขณะที่การเจรจาการพัฒนาอาวุธเคลียร์ระหว่างอิหร่านและสหรัฐฯ ที่ยังคงไม่สามารถบรรลุผล อย่างไรก็ตาม ซาอุดีอาระเบียต้องการให้ OPEC+ เพิ่มการผลิตส่วนที่เคยอาสาลดการผลิตโดยสมัครใจ ในเดือน ส.ค. และ ก.ย. 68 อีกเดือนละ 0.411 ล้านบาร์เรลต่อวัน เพื่อชิงส่วนแบ่งตลาด ขณะที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) เผยรายงานเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ทั้ง 12 เขตหดตัว นอกจากนี้ องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ปรับลดคาดการณ์อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) ของโลก ในปี 2568 และ 2569
ปัจจัยสำคัญที่คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ราคาน้ำมันในสัปดาห์นี้
• ตลาดยังคงกังวลสถานการณ์ความขัดแย้งในยุโรปตะวันออกระหว่างรัสเซียและยูเครนที่ยังคงมีความร้อนแรง โดยล่าสุด เมื่อวันที่ 4 มิ.ย. 68 ประธานาธิบดีรัสเซีย นาย Vladimir Putin กล่าวผ่านทางโทรศัพท์ว่ารัสเซียจะตอบโต้ยูเครน หลังยูเครนโจมตีเครื่องบินทิ้งระเบิดของรัสเซียมากกว่า 40 ลำ และยังคงไม่มีแนวโน้มว่าการเจรจาสันติภาพจะประสบความสำเร็จ ทั้งนี้ประธานาธิปดีสหรัฐฯ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ไม่ได้ออกมาแสดงปฏิกิริยาใดๆ ต่อการโจมตีด้วยโดรนครั้งใหญ่ของยูเครนเมื่อวันที่ 1 มิ.ย. 68 ที่ผ่านมา
• ตลาดยังคงจับตาผลการเจรจาการพัฒนาอาวุธเคลียร์ระหว่างอิหร่านและสหรัฐฯที่ยังคงไม่สามารถบรรลุข้อตกลงร่วมกันได้ โดยล่าสุดเมื่อวันที่ 2 มิ.ย. 68 Reuters เผยอิหร่านมีแนวโน้มจะปฏิเสธข้อเสนอของสหรัฐฯ ที่ฝากผ่านโอมานเมื่อวันที่ 31 พ.ค. 68 โดยสหรัฐฯ เสนอให้อิหร่านยุติการเสริมสมรรถนะยูเรเนียม (Uranium Enrichment) ซึ่งอาจนำไปสู่การพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ แลกกับการยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรต่ออิหร่านอย่างเป็นขั้นเป็นตอนแต่อิหร่านคัดค้านข้อเสนอดังกล่าว โดยระบุว่าการพัฒนานิวเคลียร์ของอิหร่านเป็นไปอย่างสันติ และต้องการให้สหรัฐฯ ยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรต่ออิหร่านทั้งหมดทันที
• อย่างไรก็ตาม อุปทานน้ำมันดิบมีแนวโน้มปรับเพิ่มหลังซาอุดีอาระเบียต้องการให้ OPEC+เพิ่มการผลิตส่วนที่เคยอาสาลดการผลิตโดยสมัครใจ ในเดือน ส.ค. และ ก.ย. 68 อีกเดือนละ 0.411 ล้านบาร์เรลต่อวัน เพื่อชิงส่วนแบ่งตลาด ทั้งนี้ กลุ่ม OPEC+ เพิ่มการผลิตตั้งแต่เดือน เม.ย. ถึง ก.ค.68 รวม 1.37 ล้านบาร์เรลต่อวัน และหากดำเนินการตามแผนดังกล่าว จะทำให้การเพิ่มปริมาณการผลิตในส่วน ที่เป็นการลดการผลิตโดยสมัครใจ ทั้งสิ้น 2.2 ล้านบาร์เรลต่อวันครบกำหนดภายในเดือน ก.ย. 68
• เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มชะลอตัวลงเนื่องจากธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) เผยรายงานกิจกรรมทางเศรษฐกิจทั้ง 12 เขต (Beige Book) ของสหรัฐฯ หดตัวในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมาโดยมีปัจจัยหลักมาจากอัตราภาษีนำเข้าที่เพิ่มขึ้น ซึ่งส่งผลให้ต้นทุนและราคาสินค้าสูงขึ้น ซึ่งมีเพียง 3 เขต จากทั้งหมด 12 เขต ที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจ ขณะที่ครึ่งหนึ่งรายงานกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ลดลง ซึ่งเป็นปัจจัยที่ Fed นำมาพิจารณาปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมคณะกรรมการนโยบายทางการเงิน (FOMC) ในวันที่ 18 มิ.ย. 68 ทั้งนี้ FedWatch Tool ของ CME Group ชี้ว่านักลงทุนให้น้ำหนัก 95.6% ที่ Fed จะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 4.25- 4.5% ในประชุม FOMC วันที่ 18 มิ.ย. 68
• นอกจากนี้ องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ปรับลดคาดการณ์อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) ของโลก ในปี 2568 และ 2569 อยู่ที่ระดับ 2.9 % เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยเท่ากันทั้ง 2 ปี ซึ่งเป็นการปรับลดจากการคาดการณ์ในเดือน มี.ค.68 อยู่ที่ระดับ 3.3% และ 3.0% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ตามลำดับ เนื่องจากสงครามการค้า (Trade War) ของสหรัฐฯ ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก ขณะที่ Eurostat รายงานดัชนีราคาผู้บริโภค (HICP) ซึ่งบ่งชี้อัตราเงินเฟ้อ (Inflation) ของยูโรโซน (20 ประเทศ) ในเดือน มี.ค. 68 อยู่ที่ระดับ 1.9% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้วโดยเป็นระดับต่ำสุดตั้งแต่เดือน ก.ย. 67 และต่ำกว่าเป้าหมายเงินเฟ้อของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ที่ ระดับ 2.0% เทียบกับช่วงเดียวกับของปีที่แล้ว
• ตัวเลขทางเศรษฐกิจที่สำคัญที่น่าติดตามในสัปดาห์นี้ คือ ตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯ ได้แก่ อัตราเงินเฟ้อ เดือน พ.ค. 68 ดัชนีราคาผู้บริโภค เดือน พ.ค. 68 ดัชนีราคาผู้ผลิต เดือน พ.ค. 68 และจำนวนผู้ยื่นขอรับสวัสดิการว่างงาน เดือน มิ.ย. 68 ตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของจีน ได้แก่ อัตราเงินเฟ้อ เดือน พ.ค. 68 ดัชนีราคาผู้ผลิต เดือน พ.ค. 68 ตัวเลขส่งออกและนำเข้าเดือน พ.ค. 68 ยอดขายรถยนต์ เดือน พ.ค. 68 ดัชนีราคาบ้าน เดือน พ.ค. 68 ผลผลิตภาคอุตสาหกรรม เดือน พ.ค. 68 และยอดขายปลีก เดือน พ.ค. 68 และตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของยุโรป ได้แก่ อัตราการเติบโตค่าจ้างแรงงาน ไตรมาส 1/68 ดัชนีต้นทุนค่าจ้างแรงงาน ไตรมาส 1/68 และผลผลิตภาคอุตสาหกรรม เดือน เม.ย. 68
สรุปสถานการณ์ราคาน้ำมันในสัปดาห์ที่ผ่านมา (30 พ.ค. – 5 มิ.ย. 68)
ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสในสัปดาห์ที่ผ่านมาปรับเพิ่มขึ้น 2.43 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลมาอยู่ที่ 63.37 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ในขณะที่ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ปรับเพิ่มขึ้น 1.19 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ 65.34 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ส่วนราคาน้ำมันดิบดูไบปิดเฉลี่ยอยู่ที่ 64.07 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล หลังเมื่อวันที่ 2 มิ.ย. 68 ที่ผ่านมาสหภาพยุโรป (EU) มีแผนจะเจรจาให้สหรัฐฯ ลดภาษีนำเข้า (Tariffs) โดยกรรมาธิการการค้าของ EU นาย Maros Sefcovic จะพบกับผู้แทนการค้าสหรัฐฯ นาย Jamieson Greer ในวันที่ 5 มิ.ย.68 ที่การประชุม OECD ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส คู่ขนานไปกับการเจรจาระดับปฏิบัติการระหว่างทั้ง 2 ฝ่ายในกรุงวอชิงตัน ประเทศสหรัฐฯ ตลอดสัปดาห์นี้ อย่างไรก็ตาม EU เตือนว่าหากเจรจาไม่สำเร็จจะใช้มาตรการภาษีตอบโต้ (Counter-tariffs) ในวันที่ 14 ก.ค. 68 หรือก่อนหน้านั้นหากสถานการณ์บีบคั้น ขณะที่การเจรจาสันติภาพระหว่างรัสเซีย และยูเครน เมื่อวันที่ 2 มิ.ย. 68 ณ เมือง Istanbul ประเทศตุรกี ยังคงไร้ความคืบหน้า ทั้งนี้สงครามยกระดับสูงสุดตั้งแต่เริ่มต้นก่อนการเจรจาดังกล่าว เมื่อวันที่ 1 มิ.ย. 68 รัสเซียใช้โดรนจำนวนมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ที่ 472 ลำพร้อมขีปนาวุธ 7 ลูกโจมตียูเครน ขณะที่ยูเครนเปิดฉากปฏิบัติการใยแมงมุม (Spider’s Web) ใช้โดรน 117 ลำโจมตีเครื่องบินทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ 41 ลำในฐานทัพอากาศหลายแห่งในไซบีเรีย ขณะที่ทางด้านสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐฯ (EIA) เปิดเผยตัวเลขน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ ประจำสัปดาห์สิ้นสุด ณ วันที่ 30 พ.ค. 65 ปรับลดลง 4.3 ล้านบาร์เรล สู่ระดับ 436.1 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะปรับลดลงราว 2.9 ล้านบาร์เรล อย่างไรก็ตาม สหรัฐฯ รายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคบริการ (PMI) ในเดือน พ.ค. 68 ลดลง 1.7 จุด เทียบกับเดือนก่อนหน้า อยู่ที่ระดับ 49.9 จุด ต่ำกว่า 50 จุด ซึ่งบ่งชี้ภาวะหดตัวเป็นครั้งแรกตั้งแต่ มิ.ย. 67.