‘พาณิชย์’ ชี้! ดัชนีราคาส่งออก/นำเข้าไทย ช่วง เม.ย. ขยายตัวดักหน้า ‘ปัจจัยเสี่ยง’ เศรษฐกิจโลก

“โฆษกกระทรวงพาณิชย์” เผย! ดัชนีราคาส่งออก และดัชนีราคานำเข้าของไทย ช่วง เม.ย.2568 ยังคงขยายตัวตามการเร่งส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม และการนำเข้าสินค้าเพิ่มขึ้นเพื่อผลิตสำหรับส่งออก ก่อนกฎเหล็ก “ภาษีทรัมป์” มีผลบังคับใช้ พ่วงสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่ไม่สู้ดีนัก

นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (ผอ.สนค.) โฆษกกระทรวงพาณิชย์ เผยว่า “ดัชนีราคาส่งออก และดัชนีราคานำเข้าของไทย เดือนเมษายน 2568 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ยังคงขยายตัวตามความต้องการสินค้าอุตสาหกรรม เนื่องจากอยู่ในช่วงการเร่งส่งออกก่อนการปรับขึ้นภาษีของสหรัฐฯ ประกอบกับการนำเข้าสินค้าขยายตัวต่อเนื่อง เพื่อนำมาผลิตสำหรับส่งออก” อย่างไรก็ตาม ความไม่แน่นอนของสถานการณ์เศรษฐกิจและการค้าโลก ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ในหลายภูมิภาค การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ นโยบายกีดกันทางการค้า และความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน อาจเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการขยายตัวทางด้านราคาของไทยในระยะข้างหน้า โดยมีรายละเอียด ดังนี้

ดัชนีราคาส่งออก เดือนเมษายน 2568 เท่ากับ 110.9 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ขยายตัวเล็กน้อยที่ร้อยละ 0.3 (YoY) สาเหตุหลักเป็นผลจากราคาสินค้าเกษตรสำคัญ และสินค้าเชื้อเพลิงปรับลดลง จากอุปทานในตลาดที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับความกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนของสถานการณ์เศรษฐกิจโลก ทำให้ความต้องการสินค้าชะลอลง อย่างไรก็ตาม หมวดสินค้าที่ส่งผลให้ดัชนีราคาส่งออกขยายตัวเพิ่มขึ้น ประกอบด้วย หมวดสินค้าอุตสาหกรรม สูงขึ้นร้อยละ 1.6 ได้แก่ ทองคำ ตามความต้องการถือครองสินทรัพย์ปลอดภัยเพิ่มขึ้น ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจโลก และความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ตามความต้องการคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ เพื่อรองรับการทำงานของ AI เพิ่มขึ้น รวมถึงความต้องการเร่งนำเข้าสินค้าก่อนที่จะมีการประกาศภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ และเครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ ตามความต้องการที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และหมวดสินค้าอุตสาหกรรมการเกษตร สูงขึ้นร้อยละ 1.4 ได้แก่ อาหารสัตว์เลี้ยง ตามความนิยมเลี้ยงสัตว์เลี้ยงทั่วโลก และความต้องการอาหารสัตว์เลี้ยงคุณภาพสูง สำหรับอาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป เครื่องดื่ม และผลไม้กระป๋องและแปรรูป ตามแนวโน้มการบริโภคอาหารพร้อมรับประทานเพิ่มขึ้น ขณะที่หมวดสินค้าที่ดัชนีราคาส่งออกปรับตัวลดลง ประกอบด้วย หมวดสินค้าแร่และเชื้อเพลิง ลดลงร้อยละ 17.4 โดยเฉพาะน้ำมันสำเร็จรูป

ตามทิศทางราคาน้ำมันดิบตลาดโลกที่ปรับตัวลดลง และหมวดสินค้าเกษตรกรรม ลดลงร้อยละ 3.3 ได้แก่ ข้าว เนื่องจากอุปทานข้าวโลกยังอยู่ในระดับสูง ประกอบกับการเผชิญกับการแข่งขันจากประเทศคู่แข่ง และผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง จากปริมาณผลผลิตที่ออกสู่ตลาดเพิ่มขึ้น รวมถึงความต้องการจากตลาดหลัก อาทิ จีน มีแนวโน้มลดลง เนื่องจากมันสำปะหลังจากประเทศเพื่อนบ้านของไทยมีราคาถูกกว่า

ดัชนีราคานำเข้า เดือนเมษายน 2568 เท่ากับ 114.2 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ขยายตัวชะลอลงร้อยละ 1.0 (YoY) เป็นผลจากการลดลงของราคาสินค้าเชื้อเพลิงเป็นสำคัญ ขณะที่การนำเข้าสินค้าในหมวดอื่นๆ อาทิ สินค้าทุน วัตถุดิบ และอุปโภคบริโภค ยังขยายตัวต่อเนื่อง โดยหมวดสินค้าที่ส่งผลให้ดัชนีราคานำเข้าปรับตัวสูงขึ้น ประกอบด้วย หมวดสินค้าอุปโภคบริโภค สูงขึ้นร้อยละ 8.0 ได้แก่ เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน ผลิตภัณฑ์เวชกรรมและเภสัชกรรม เครื่องประดับอัญมณี และผัก ผลไม้ และของปรุงแต่งที่ทำจากผัก ผลไม้ ตามความต้องการเพื่อใช้ในการอุปโภคบริโภคของประเทศ และการขยายตัวของการท่องเที่ยว หมวดสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป สูงขึ้นร้อยละ 4.6 โดยเฉพาะทองคำ ตามทิศทางราคาตลาดโลกที่สูงขึ้น เนื่องจากเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่า ทำให้ความต้องการถือครองทองคำเพื่อกระจายความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น

สำหรับอุปกรณ์ ส่วนประกอบเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ โดยเฉพาะแผงวงจรไฟฟ้า และสินแร่โลหะอื่นๆ เศษโลหะและผลิตภัณฑ์ ตามความต้องการนำเข้าเพื่อใช้ในการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมต่างๆ ภายในประเทศ และส่งออก หมวดสินค้าทุน สูงขึ้นร้อยละ 4.1 ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ และเครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เพื่อรองรับการพัฒนาอุตสาหกรรม และเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันของประเทศ สำหรับหมวดยานพาหนะและอุปกรณ์การขนส่ง ดัชนีราคาไม่เปลี่ยนแปลง แต่มีการเปลี่ยนแปลงในบางกลุ่มสินค้าสำคัญ โดยสินค้าที่มีราคาสูงขึ้น คือ ส่วนประกอบและอุปกรณ์ยานยนต์ ตามความต้องการชิ้นส่วนยานยนต์ เพื่อการผลิตและประกอบรถยนต์ภายในประเทศและส่งออก ขณะที่สินค้าที่มีราคาลดลง คือ รถยนต์โดยสารและรถบรรทุก เนื่องจากความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงิน ประกอบกับมีการแข่งขันจากรถยนต์ไฟฟ้าราคาถูกในตลาดโลก ขณะที่หมวดสินค้าเชื้อเพลิง หดตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 14.3 โดยเฉพาะราคาน้ำมันดิบ ซึ่งเป็นผลจากอุปทานส่วนเกิน และความต้องการที่ชะลอตัว

นายพูนพงษ์ฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับแนวโน้มดัชนีราคาส่งออก และดัชนีราคานำเข้า เดือนพฤษภาคม 2568 คาดว่าจะขยายตัวชะลอลง โดยปัจจัยที่สนับสนุนให้ดัชนีราคาส่งออกและดัชนีราคานำเข้ายังคงขยายตัว ได้แก่ 1) ฐานราคาปี 2567 ในช่วงครึ่งปีแรก ยังอยู่ในระดับต่ำกว่าปี 2568 2) การเร่งนำเข้าสินค้าไทยจากประเทศคู่ค้า ก่อนจะมีการบังคับใช้มาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariff) เต็มรูปแบบ ทำให้มีความต้องการสินค้าในระยะสั้นเพิ่มขึ้น 3) สินค้าเกษตรแปรรูปส่วนใหญ่ยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง 4) สินค้าอุตสาหกรรมหลัก โดยเฉพาะสินค้าที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยียังขยายตัว และ 5) ต้นทุนการผลิตมีแนวโน้มปรับสูงขึ้น ขณะที่ปัจจัยเสี่ยงที่ควรเฝ้าระวัง ได้แก่ 1) การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก 2) ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ยังมีแนวโน้มยืดเยื้อในหลายภูมิภาค 3) ความไม่แน่นอนจากนโยบายการค้าและภาษีของสหรัฐฯ 4) ราคาสินค้าเกษตรสำคัญบางกลุ่มยังมีทิศทางลดลง จากปัญหาอุปทานส่วนเกิน 5) การแข่งขันทางด้านราคามีแนวโน้มสูงขึ้น และ 6) ความผันผวนของค่าเงินบาท.

Login

Welcome! Login in to your account

Remember me Lost your password?

Lost Password