IMF ชงอาเซียนผนึกสู้กำแพงภาษีสหรัฐฯ แนะเชื่อมตลาดทุน-การค้าภูมิภาคมากขึ้น

“เผ่าภูมิ” ร่วมประชุม “สภาผู้ว่าการธนาคารโลก-กองทุนการเงินระหว่างประเทศ 2568 ที่สหรัฐฯ ด้าน “โฆษกคลัง” เผย! ข้อเสนอผู้บริหารไอเอ็มเอฟแนะอาเซียนผนึกจับมือสู้กำแพงภาษีสหรัฐฯ พร้อมเชื่อมตลาดทุนและการค้าภูมิภาคให้มากขึ้น หลังถูกหั่นเงินช่วยเหลือ ต้องเร่งสร้างรายได้ภาษีเกิน 15% ของจีพีดี
นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง แถลงว่า ในระหว่างวันที่ 21 – 24 เมษายน 2568 นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ได้เข้าร่วมการประชุมสภาผู้ว่าการธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (Spring Meetings) และการประชุมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง (การประชุมฯ) ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. สหรัฐอเมริกา โดยมีรายละเอียดการประชุมฯ ดังนี้

1. การประชุม Roundtable IMF MD with ASEAN Finance Ministers and Central Bank Governors
รมช.คลัง (นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล) ได้เข้าร่วมการประชุมโต๊ะกลมกับนาง Kristalina Georgieva กรรมการจัดการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (Managing Director of the International Monetary Fund: IMF) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าธนาคารกลางของแต่ละประเทศในอาเซียน โดยที่ประชุมได้แลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นในหัวข้อความผันผวนของเศรษฐกิจโลกในปัจจุบันและการรับมือกำแพงภาษี นาง Kristalina ได้ให้ความเห็นในประเด็นการรับมือกำแพงภาษีว่า ประเทศสมาชิกอาเซียนควรสนับสนุนนโยบายเพื่อเสริมสร้างความเชื่อมโยงของตลาดทุนและการค้าในภูมิภาคให้มากขึ้น นอกจากนี้ ควรมีการจัดระเบียบห่วงโซ่อุปทานภายในประเทศของตนเองให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นเพื่อให้มีความยืดหยุ่นต่อสถานการณ์ที่ผันผวน ประเทศรายได้น้อยกำลังเผชิญการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกและการได้รับเงินช่วยเหลือจากประเทศพัฒนาแล้วที่น้อยลงทำให้ประเทศรายได้น้อยจะต้องระดมทรัพยากรในประเทศให้สามารถมีรายได้ภาษีสูงกว่าร้อยละ 15 ของ GDP ให้ได้ เพื่อให้รัฐบาลสามารถดำเนินนโยบายการคลังได้อย่างยั่งยืน

2. การประชุมหารือทวิภาคี
รมช.คลัง (นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล) ได้ประชุมหารือทวิภาคี ดังนี้
(1) นาง Kristalina Georgieva กรรมการจัดการ IMF เพื่อหารือถึงการเตรียมความพร้อมของประเทศไทยในการเป็นเจ้าภาพการประชุมประจำปีสภาผู้ว่าการธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund: IMF) ในปี 2569 (AM2026) โดยนาง Kristalina ได้แสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์แผ่นดินไหวในประเทศไทย แต่ยังคงเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่าประเทศไทยจะสามารถเตรียมความพร้อมสำหรับการประชุม AM2026 ได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปัจจุบัน (2) Ms. Mamta Murthi รองประธานธนาคารโลกด้านการพัฒนาทุนมนุษย์ พร้อมคณะผู้บริหารธนาคารโลก ในหัวข้อการปฏิรูประบบสวัสดิการเพื่อรองรับสังคมสูงวัย ซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งใน Flagship Report สำหรับประเทศไทยในการเป็นเจ้าภาพจัดประชุม AM2026 (3) ผู้แทนจาก Credit Rating Agencies ได้แก่ J.P. Morgan Moody’s และ S&P ในหัวข้อภาพรวมเศรษฐกิจมหภาค การรับมือกำแพงภาษี และนโยบายการคลังเพื่อสร้างความเชื่อมั่นด้านเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและการคลังของประเทศไทย (4) นาย Riccardo Puliti รองประธานบรรษัทการเงินระหว่างประเทศ (The International Finance Corporation: IFC) ในหัวข้อบทบาทของ IFC ในการสนับสนุนการพัฒนาทักษะและการเพิ่มขีดความสามารถของภาคธุรกิจไทย และ (5) H.E. Gilles Roth รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังราชรัฐลักเซมเบิร์ก ได้หารือถึงแนวทางความร่วมมือด้านเทคโนโลยีทางการเงิน (Financial Technology) โดยเฉพาะในประเด็นเกี่ยวกับการพัฒนาประเทศไทยเป็นศูนย์กลางทางการเงิน (Financial hub) และสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset)

3. การประชุมคณะกรรมการพัฒนาการของธนาคารโลก ครั้งที่ 111 (The 111th Development Committee Meeting: DC Plenary)
การประชุม DC Plenary มีสาระสำคัญสรุปได้ว่า เศรษฐกิจโลกกำลังเผชิญกับจุดเปลี่ยนสำคัญ โดยมีแรงกดดันจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายของประเทศเศรษฐกิจหลัก ความตึงเครียดทางการค้าที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น หนี้สาธารณะที่อยู่ในระดับสูง และอัตราการเติบโตระยะกลางที่อ่อนแอ โดย IMF คาดว่าการเติบโตของเศรษฐกิจโลกจะชะลอตัวจากร้อยละ 3.3 ในปี 2567 เหลือร้อยละ 2.8 ในปี 2568 และฟื้นตัวเล็กน้อยเป็นร้อยละ 3.0 ในปี 2569 และคาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะมีแนวโน้มลดลงทั่วโลก โดยการลดลงของอัตราเงินเฟ้อในประเทศพัฒนาแล้วจะเร็วกว่าประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่และกำลังพัฒนา
ทั้งนี้ ที่ประชุมได้หารือถึงนโยบายเพื่อการรับมือและสร้างความยืดหยุ่นท่ามกลางความไม่แน่นอนด้านนโยบายการค้าและความผันผวนในตลาดการเงิน ดังนี้ (1) ประเทศสมาชิกต้องดำเนินนโยบายเพื่อฟื้นฟูความเชื่อมั่นและลดความไม่สมดุลทางเศรษฐกิจในประเทศและระหว่างประเทศ และสร้างกันชนทางเศรษฐกิจเพื่อรองรับความผันผวนในอนาคต (2) ประเทศสมาชิกควรส่งเสริมความร่วมมือพหุภาคี (Multilateral Cooperation) ต่อไป โดยสนับสนุนระบบการค้าระหว่างประเทศที่มีกฎเกณฑ์ชัดเจน (3) ธนาคารกลางควรรักษาความมั่นคงด้านราคาและเสถียรภาพทางการเงิน โดยหากความเสี่ยงเงินเฟ้ออยู่ในระดับสูง ควรชะลอการปรับลดอัตราดอกเบี้ย (4) ประเทศสมาชิกควรดำเนินนโยบายการคลังที่ยั่งยืน โดยจำเป็นต้องมีแผนการคลังระยะกลางที่น่าเชื่อถือเพื่อฟื้นฟูความยั่งยืนทางการคลัง และควรมุ่งเน้นการจัดเก็บรายได้อย่างมีประสิทธิภาพ และการใช้จ่ายที่ตรงจุดเพื่อสนับสนุนการพัฒนา (5) ประเทศสมาชิกควรผลักดันการปฏิรูปเชิงโครงสร้าง โดยส่งเสริมการมีส่วนร่วมของแรงงานสตรีและผู้สูงอาการปรับปรุงสภาพแวดล้อมทางธุรกิจ ส่งเสริมนวัตกรรม และเพิ่มขีดความสามารถทางเทคโนโลยี.