ธ.ก.ส. เผย เกษตรกร แห่เข้าโครงการพักหนี้แล้ว 7 แสนราย ปักธง NPL เหลือไม่เกิน 5%

ธ.ก.ส.กางยอดเกษตรกรรายย่อย แห่เข้าโครงการพักหนี้แล้ว 7 แสนราย ตกค้างอีกเฉียด 1 ล้านราย ยันเร่งดำเนินการให้จบภายใน 3 เดือน พร้อมแจงเงินฝากยังแข็งแกร่ง เดินหน้าสางหนี้เสีย ปักธงสิ้นปีบัญชี 2567 กดหนี้เน่าเหลือไม่เกิน 5% เด้งรับนโยบายรัฐบาล ออกมาตรการช่วยเหลือลูกค้าเพิ่มเติม

วันที่ 29 ม.ค.2567 นายฉัตรชัย ศิริไล ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยถึงความคืบหน้าโครงการพักหนี้เกษตรกรรายย่อย 3 ปี ว่า ตั้งแต่เริ่มโครงการเมื่อวันที่ 1 ต.ค. 2566 จนถึงปัจจุบัน มีเกษตรกรสอบทานสิทธิ์และเข้าสู่กระบวนการนัดลงนามท้ายสัญญาแล้วทั้งสิ้น 1.7 ล้านราย ซึ่งภายใต้จำนวนดังกล่าวได้มีการลงนามปรับโครงสร้างหนี้ไปแล้ว 7 แสนราย โดยขณะนี้ยังเหลือเกษตรกรอีกราว 9.99 แสนราย ที่จะต้องเร่งดำเนินลงนามท้ายสัญญา เพื่อให้การจัดทำนิติกรรมสมบูรณ์ภายใน 3 เดือน

ทั้งนี้ ยอมรับว่าส่วนใหญ่ยังติดปัญหาเรื่องความล่าช้า ในมิติของนิติกรรมสัญญา ซึ่งจะเกี่ยวโยงไปถึงหน่วยงานอื่นด้วย เช่น กรมที่ดิน และ ยังมีปัญหาเรื่องผู้ค้ำประกัน เนื่องจากการค้ำประกันของ ธ.ก.ส. นั้น มีทั้งการค้ำประกันแบบบุคคล และการค้ำประกันแบบกลุ่ม ที่บางกรณีผู้ค้ำประกันหาตัวไม่เจอ หรือ บางกรณีผู้ค้ำประกันเสียชีวิตไปแล้ว ตรงนี้ต้องใช้เวลาดำเนินการพอสมควรเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ครบถ้วน สมบูรณ์ เพื่อที่จะให้ลูกค้าได้รับสิทธิ์ตามโครงการพักหนี้ของรัฐบาล

“ธ.ก.ส. กำลังเร่งดำเนินการอย่างเต็มที่เพื่อให้ลูกค้าอีก 9.99 แสนรายได้รับสิทธิ์ทั้งหมด เพราะว่าลูกค้ากลุ่มนี้ได้แสดงความประสงค์ที่จะเข้าร่วมโครงการแล้วและมีคุณสมบัติครบถ้วน แต่ยังติดในเรื่องนิติกรรมสัญญา เช่น บางกรณีเปลี่ยนผู้ค้ำประกัน หรือบางกรณีผู้ค้ำประกันเสียชีวิตไปแล้ว บางกรณีสัญญาประธานขาดอายุไปแล้ว ก็ต้องไปไล่ดำเนินการทีละส่วน ซึ่งตรงนี้ถือเป็นการคลีนซิ่งข้อมูลครั้งใหญ่ของ ธ.ก.ส. ไปด้วย” นายฉัตรชัย กล่าว

สำหรับกลุ่มหนี้เสียนั้น ปัจจุบันมาตราการช่วยเหลือของ ธ.ก.ส. ยังมีอยู่ ดังนั้นลูกค้าในกลุ่มนี้ก็สามารถเข้าโครงการช่วยเหลือของธนาคารได้เลย ซึ่งมีลูกหนี้ที่เข้าข่ายคิดเป็นวงเงินประมาณ 3.6 หมื่นล้านบาท ซึ่งเบื้องต้นพบว่าลูกหนี้กลุ่มนี้ได้เข้าโครงการไปแล้ว 90% กว่า ส่วนที่เหลือเป็นกลุ่มตกค้างที่ตอนนี้ต้องถือเป็นการดูใจแล้วว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป

นายฉัตรชัย กล่าวถึงสถานการณ์เงินฝากของ ธ.ก.ส. ว่า ยืนยันว่าเงินฝากของธนาคารไม่ได้ลดลง โดยปัจจุบันมียอดเงินฝากอยู่ที่ราว 1.8 ล้านล้านบาท ซึ่งขณะนี้เป็นการบริหารสภาพคล่องให้อยู่ในเกณฑ์ปกติอย่างมีประสิทธิภาพ และปลอดภัย เนื่องจากในอดีตที่ผ่านมา ธ.ก.ส. ได้เตรียมสภาพคล่องไว้สูงมาก ซึ่งหลังจบปีบัญชี 2566 (มี.ค. 2567) ค่อยมาพิจารณากันอีกทีว่าภายใต้ยุทธศาสตร์ของ ธ.ก.ส. จะมีการวางเป้าหมายเงินฝากสำหรับปีบัญชี 2567 (เม.ย.2567-มี.ค.2568) ไว้ที่เท่าไร

“ถามว่าเงินฝากตอนนี้น้อยลงกว่าปีที่แล้วหรือไม่ คำตอบ คือ ใช่ น้อยลง แต่มาจาก 2 เหตุผล คือ 1. นโยบายในการบริหารสภาพคล่อง และ 2. ช่วงที่ผ่านมามีการใช้เงินตามโครงการที่เป็นนโยบายของรัฐบาล รวม ๆ กันประมาณ 9 หมื่นกว่าล้านบาท ดังนั้นเงินฝากที่ลดลงก็เป็นไปตามแผนการใช้เงินที่วางไว้ ไม่ได้ลดลงเนื่องจากประสิทธิภาพ และปัจจุบัน ธ.ก.ส. ไม่จำเป็นจะต้องมีสภาพคล่องสูงขนาดนั้น ขณะเดียวกันตัวผลิตภัณฑ์เงินฝาก อาทิ สลากออมทรัพย์ถุงทอง ตอนนี้ขายได้ 9 หมื่นกว่าล้านบาทแล้ว จากวงเงิน 1 แสนล้านบาท และเร็ว ๆ นี้เตรียมจะออกสลากออมทรัพย์ตัวย่อย ๆ อีก 2-3 ตัว” นายฉัตรชัย กล่าว

นายฉัตรชัย กล่าวอีกว่า ในส่วนของหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) นั้น ปัจจุบันอยู่ที่ราว 5.38% ของสินเชื่อรวม ซึ่งตามแผนยุทธศาสตร์ภายในของธนาคารวางเป้าหมายไว้ว่า ภายในสิ้นปีบัญชี 2567 หนี้เสียจะอยู่ต่ำกว่า 5% ซึ่งตอนนี้ใกล้เคียงเป้าหมายแล้ว และจากนี้ไปจะเป็นการดำเนินการตามแผนยุทธศาสตร์ ที่ในปีบัญชีถัดไปจะบริหารจัดการหนี้เสียให้อยู่ในระดับไม่เกิน 4% ซึ่งภายใต้เป้าหมายดังกล่าว หัวใจสำคัญไม่ได้อยู่ที่การมุ่งลดให้หนี้เสียต่ำลงไปเรื่อย ๆ แต่เป็นการบริหารจัดการให้หนี้เสียไม่ผันผวนเกิน 4% ซึ่งถือเป็นระดับที่ธนาคารมีความแข็งแกร่งในการบริหารจัดการไม่ให้เกิดการผันผวนของหนี้เสียที่พร้อมจะปรับขึ้นได้ตลอด จากผลกระทบในเรื่องความสามารถในการชำระหนี้ของเกษตรกร.

Login

Welcome! Login in to your account

Remember me Lost your password?

Lost Password