กรมพัฒนาธุรกิจฯ จับกระแสกาแฟไทย ยืนหัวแถวโตสวนเศรษฐกิจ ชี้! คนไทยดื่มทะลุ 340 แก้ว/ปี ดันยอดจัดตั้งธุรกิจใหม่พุ่ง 8.9%

กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ยก “อุตสาหกรรมกาแฟไทย” ขึ้นชั้น “ธุรกิจดาวเด่น” ประจำเดือนมิถุนายน 2568 เผย! ขยายตัวต่อเนื่อง รับกระแสตลาดโลกที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง ระบุ! คนไทยหันดื่มกาแฟเพิ่มขึ้นเฉลี่ยมากกว่า 340 แก้วต่อคนต่อปี หนุนตลาดในประเทศแตะระดับ 6.5 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.33% ชี้! การจัดตั้งธุรกิจใหม่ครึ่งปีแรก เพิ่มขึ้นถึง 8.92% เหตุผู้บริโภครุ่นใหม่มองกาแฟเป็นทั้งไลฟ์สไตล์และธุรกิจที่สร้างโอกาส ยัน! ตลาดยังเปิดกว้า งพร้อมมีโมเดลการลงทุนร้านกาแฟในรูปแบบแฟรนไชส์ให้มือใหม่ได้ปิดความเสี่ยงทำธุรกิจ cotเจ้าของต้องใส่ใจคิดค้นกลยุทธ์ใหม่ๆ ตอบโจทย์ผู้บริโภค

นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กรมฯได้วิเคราะห์ “ธุรกิจดาวเด่น” ประจำเดือนมิถุนายน 2568 พบว่า “อุตสาหกรรมกาแฟ” ในประเทศไทยยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับแนวโน้มตลาดกาแฟโลกในปี 2567 ที่มีมูลค่าในตลาด 2.69 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ และคาดว่าภายในปี 2573 จะมีมูลค่าพุ่งถึง 3.69 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยประเทศไทยมีการบริโภคกาแฟเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน จากเดิมเฉลี่ย 180 แก้ว/คน/ปี เป็นมากกว่า 340 แก้ว/คน/ปีในปัจจุบัน ส่งผลให้มูลค่าการตลาดภายในประเทศปี 2568 แตะระดับ 6.5 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2567 ถึง 8.33% ประกอบกับผู้บริโภคได้เปลี่ยนพฤติกรรมจากการดื่มกาแฟสำเร็จรูปไปสู่กาแฟสด สะท้อนถึงรสนิยมของคนยุคใหม่ที่ต้องการดื่มด่ำคุณภาพ รสชาติ และประสบการณ์ของกาแฟที่สูงขึ้น

อธิบดีฯอรมน กล่าวอีกว่า นิติบุคคลในอุตสาหกรรมกาแฟสามารถแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ 1) กลุ่มผลิต (การผลิตกาแฟ และการผลิตเครื่องดื่มกาแฟ) และ 2) กลุ่มขายส่ง/ปลีก (ขายส่งกาแฟชาโกโก้, ขายปลีก/ส่งเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ และบริการเครื่องดื่มที่ไม่มีแอกอฮอล์เป็นหลักในร้าน) จากข้อมูลของกรมฯ พบว่า มีนิติบุคคลดำเนินกิจการอยู่จำนวน 6,361 ราย (กลุ่มผลิต 811 ราย และ กลุ่มขาย 5,550 ราย) มูลค่าทุนจดทะเบียน 39,329 ล้านบาท (กลุ่มผลิต 10,562 ล้านบาท และ กลุ่มขาย 28,767 ล้านบาท) ธุรกิจส่วนใหญ่จัดตั้งในรูปแบบบริษัทจำกัด 4,986 ราย (กลุ่มผลิต 691 ราย และกลุ่มขาย 4,295 ราย) คิดเป็น 78.39% ของนิติบุคคลในธุรกิจนี้ ห้างหุ้นส่วนจำกัด/ห้างหุ้นส่วนสามัญ 1,371 ราย (กลุ่มผลิต 120 ราย และกลุ่มขาย 1,251 ราย) และ บริษัทมหาชน จำกัด 4 ราย (กลุ่มขาย 4 ราย) หากแยกตามขนาดของธุรกิจพบว่า ส่วนใหญ่เป็นธุรกิจขนาดเล็ก (S) 6,105 ราย (กลุ่มผลิต 780 ราย และกลุ่มขาย 5,325 ราย) รองลงมาเป็นขนาดกลาง (M) 188 ราย (กลุ่มผลิต 22 ราย และกลุ่มขาย 166 ราย) และ ขนาดใหญ่ 68 ราย (กลุ่มผลิต 9 ราย และกลุ่มขาย 59 ราย)

สำหรับ ช่วงครึ่งปีแรก 2568 (มกราคม–มิถุนายน) มีการจัดตั้งธุรกิจใหม่ในกลุ่มกาแฟจำนวน 415 ราย เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนถึง 8.92% โดยทั้งหมดเป็นธุรกิจขนาดเล็ก (S) และกว่า 33% ตั้งอยู่ในกรุงเทพฯ สะท้อนความนิยมในตลาดกาแฟที่ยังมีแรงขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ข้อมูลผลประกอบการย้อนหลัง 3 ปี พบว่า รายได้รวมของอุตสาหกรรมอยู่ในระดับทรงตัว แต่กำไรสุทธิเริ่มลดลง โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ผลิต ซึ่งต้องเผชิญกับความผันผวนของต้นทุนและการแข่งขันที่รุนแรง โดยรายได้รวมของอุตสาหกรรมกาแฟในปี 2567 อยู่ที่ 206,751 ล้านบาท (กลุ่มผลิต 37,217 ล้านบาท และกลุ่มขาย 169,534 ล้านบาท) เพิ่มขึ้น 3,453 ล้านบาท คิดเป็น 1.70% เมื่อเทียบกับปี 2566

เมื่อวิเคราะห์ในเชิงลึกในรูปแบบธุรกิจร้านกาแฟ จะแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ 1) Franchise/Chains เป็นธุรกิจที่มีเครือข่ายขนาดใหญ่ และเป็นทางเลือกของผู้ที่อยากเปิดร้านกาแฟแต่ยังไม่มีประสบการณ์ และ 2) Independent เป็นธุรกิจที่มีส่วนแบ่งทางการตลาดสูงถึง 94.4% ของธุรกิจกาแฟในประเทศ โดยเป็นการบริหารธุรกิจโดยเจ้าของร้านเอง อาจมีสาขาในแบรนด์ประมาณ 1-3 สาขา อาทิ Stand Alone, Truck และ Kiosk จากข้อมูลพบว่า ธุรกิจร้านกาแฟแบบ Franchise/Chain มีความสามารถในการทำกำไรได้ดี โดยมีกำไรสุทธิ (Net Profit Margin) เฉลี่ยที่ 17.5% และมีรายได้เติบโตเฉลี่ยปีละ 10% ส่วนร้านกาแฟแบบ Independent แม้จะมีภาพลักษณ์และคุณภาพโดดเด่น แต่มีอัตรากำไรสุทธิเฉลี่ยที่ 4.6% สะท้อนความท้าทายในการแข่งขันที่มีผู้เล่นในกลุ่มนี้จำนวนมาก การรักษาฐานลูกค้าและการสร้าง Story ให้ธุรกิจจึงเป็นเรื่องสำคัญที่ธุรกิจกลุ่มนี้ต้องใส่ใจ

โดย กรมฯได้วิเคราะห์เจาะลึกในกลุ่มตัวอย่าง 20 บริษัทที่ประกอบธุรกิจร้านกาแฟและมีความสามารถในการทำอัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) สูงที่สุดใน 3 อันดับแรก คือ (ข้อมูล ณ 30 มิ.ย. 68) ดังนี้
1) กลุ่ม Franchise/Chains (โดยเลือกกลุ่มตัวอย่างจากเชนร้านกาแฟชื่อดังในไทย) ได้แก่ บริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) ดำเนินธุรกิจในแบรนด์ Café Amazon (4,922 สาขา) สร้างรายได้ 23,167 ล้านบาท กำไร 5,989 ล้านบาท อัตรากำไรสุทธิ คิดเป็น 25.85% (รายได้และกำไรคำนวนจากรายงานประจำปีของกลุ่มธุรกิจ Lifestyle ของ บริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน)), บริษัท หนึ่งต่อสอง จำกัด ดำเนินธุรกิจในแบรนด์ 1:2 Coffee (54 สาขา) สร้างรายได้ 290 ล้านบาท กำไร 49 ล้านบาท อัตรากำไรสุทธิ 16.82% และ บริษัทกาแฟพันธุ์ไทย จำกัด ดำเนินธุรกิจในแบรนด์พันธุ์ไทย (1,347 สาขา) สร้างรายได้ 3,049 ล้านบาท กำไร 292 ล้านบาท

และ 2) กลุ่ม Independent (โดยเลือกกลุ่มตัวอย่างจาก ร้าน Specialty Coffee ชื่อดัง และมีบาริสต้าได้รับรางวัล) ได้แก่ บริษัท นานา แอนด์ แฟรนด์ คอฟฟี่ โรสเตอร์ จำกัด ดำเนินธุรกิจในแบรนด์ NANA Coffee Roaster สร้างรายได้ 44 ล้านบาท กำไร 4 ล้านบาท อัตรากำไรสุทธิ คิดเป็น 9.29%, บริษัท บาริสต้า โปรเจกต์ จำกัด ดำเนินธุรกิจในแบรนด์ Factory Coffee สร้างรายได้ 70 ล้านบาท กำไร 6 ล้านบาท อัตรากำไรสุทธิ คิดเป็น 8.75% และ บริษัท คูราสุ จำกัด ดำเนินธุรกิจในแบรนด์ Kurasu Bangkok สร้างรายได้ 3 ล้านบาท กำไร 0.2 ล้านบาท อัตรากำไรสุทธิ คิดเป็น 6.32% ตามลำดับ
ทั้งนี้ ธุรกิจกาแฟยังมีโอกาสเติบโตในประเทศไทยอีกมาก โดยเฉพาะในกลุ่มกาแฟพิเศษ หรือ Specialty Coffee และ ร้านกาแฟที่สร้างประสบการณ์ รวมถึง สร้างแบรนด์ที่แตกต่างได้อย่างชัดเจน ขณะที่ ผู้ประกอบการจะต้องบริหารจัดการต้นทุนให้ดี ควบคู่ไปกับการเข้าใจพฤติกรรมของผู้บริโภครุ่นใหม่ ที่ให้ความสำคัญกับทั้งคุณภาพ ไลฟ์สไตล์ และความยั่งยืน มากไปกว่านั้น ตัวช่วยด้านเทคโนโลยีจะทำให้ลูกค้าเข้าถึงร้านกาแฟได้มากขึ้น คือ ร้านจะต้องมีหลายช่องทางการสั่งซื้อทั้งหน้าร้านหรือ เดลิเวอรี หรือ การสั่งล่วงหน้าผ่านแอปพลิเคชัน รวมถึง การชำระเงินทางดิจิทัล
จากสถิติปัจจุบัน พบว่า ยอดขายของร้านกาแฟมาจากช่องทางเดลิเวอรีถึง 22% และชำระเงินผ่านระบบ e-Payment กว่า 50% ทำให้ร้านสามารถขายกาแฟได้ครอบคลุมลูกค้ามากขึ้น และไม่ได้จำกัดฐานลูกค้าแค่เพียงพื้นที่โดยรอบต่อไปอีกแล้ว
“กรมพัฒนาธุรกิจการค้าจะยังคงติดตามแนวโน้มอุตสาหกรรมกาแฟอย่างใกล้ชิด และพร้อมสนับสนุนผู้ประกอบการไทยให้สามารถยกระดับธุรกิจอย่างยั่งยืนและแข่งขันได้ในตลาดทั้งในและต่างประเทศ” อธิบดีฯอรมน กล่าวทิ้งท้าย.