‘ส.ธนาคารไทย’ แจง 3 ข้อปมแอปฯแบงก์โดนแฮก/ดูดเงินออก ย้ำ! ตรวจแล้วไม่พบพฤติกรรมนี้
สมาคมธนาคารไทย ชี้แจงกรณีข่าวแอปพลิเคชันธนาคารในส่วนบัญชีนิติบุคคลถูกแฮกและโอนเงินออก ยืนยันตรวจสอบแล้วไม่พบพฤติกรรมและหลักฐานดูดเงินผ่านแอปฯ ระบุ! การไม่ให้นิติบุคคลยืนยันผ่านสแกนใบหน้า เหตุมีขั้นตอนการรักษาความปลอดภัยขั้นสูงกว่าแล้ว
ตามที่ปรากฎข่าว ผู้ใช้บัญชีธนาคารประเภทนิติบุคคล สงสัยแอปพลิเคชันธนาคารถูกแฮก และโอนเงินออกจากบัญชี นั้น สมาคมธนาคารไทย โดย ศูนย์ประสานงานด้านความมั่นคงปลอดภัยเทคโนโลยีสารสนเทศภาคการธนาคาร (TB-CERT) และธนาคารสมาชิกที่เกี่ยวข้อง ได้เร่งดำเนินการตรวจสอบกรณีดังกล่าวโดยเร็วที่สุด โดยขอชี้แจงดังนี้
1.จากการตรวจสอบเบื้องต้นของธนาคารที่เกี่ยวข้อง 3 ธนาคาร ไม่พบพฤติกรรมและหลักฐานในลักษณะแอปฯ ดูดเงินผ่านแอปพลิเคชันของธนาคาร
2.โมบายแบงกิ้งของทุกธนาคารมีความปลอดภัย ครอบคลุมถึงการป้องกันภัยเรื่องของแอปฯดูดเงิน ทั้งนี้ธนาคารได้ให้ความสำคัญกับระบบความปลอดภัยของผู้ใช้งาน โดยมีการพัฒนายกระดับความปลอดภัยอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้การใช้งานโมบายแบงกิ้งเป็นไปอย่างมีเสถียรภาพและปลอดภัย จึงขอให้ลูกค้าประชาชนมั่นใจว่า ระบบโมบายแบงกิ้งของทุกธนาคารมีความปลอดภัยสูง
3.ยืนยันว่าโมบายแบงกิ้งบัญชีบุคคลธรรมดา การโอนเงินตั้งแต่ 50,000 บาทต่อครั้ง และ 200,000
บาทต่อวัน ยังคงต้องยืนยันตัวตนโดยการสแกนใบหน้า ซึ่งธนาคารมีระบบตรวจสอบความถูกต้องของการสแกนใบหน้า ตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด สำหรับนิติบุคคลนั้นปัจจุบันไม่ได้มีการให้ยืนยันตัวตนโดยการสแกนใบหน้าเนื่องจากการอนุมัติรายการนิติบุคคลนั้น มีขั้นตอนการรักษาความปลอดภัยแบบมี Maker, Checker, และ Authorizer ที่มีความซับซ้อนมากกว่าและยังคงความปลอดภัยขั้นสูงสุดเนื่องจากมูลค่าการโอนเงินนั้นมีมูลค่าสูงกว่า
สมาคมธนาคารไทย และธนาคารสมาชิก ตระหนักถึงภัยทางการเงินที่มีความซับซ้อนและหลากหลายมากขึ้น โดยให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับความปลอดภัยในการทำธุรกรรมทางการเงิน และการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้า พร้อมร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด เพื่อกำหนดแนวทางการป้องกันและจัดการภัยทางการเงินให้มีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง โดยขณะนี้ ธนาคารที่เกี่ยวข้องได้เร่งประสานและเน้นย้ำให้ผู้เสียหายเข้าพบพนักงานสอบสวนเพื่อรายงานข้อเท็จจริงโดยละเอียด เพื่อทราบถึงเหตุที่แท้จริงและสืบหาผู้ที่เกี่ยวข้องของอาชญากรรมทางไซเบอร์ดังกล่าวได้โดยเร็ว โดยภาคธนาคารมีความห่วงใยและพร้อมร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการให้ความช่วยเหลือ ป้องกันและติดตามผู้กระทำความผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมายให้ถึงที่สุด.