บีโอไอ โรดโชว์ เซมิคอนดักเตอร์สหรัฐฯ ดึงลงทุนต้นน้ำ มุ่งสู่เป้าหมาย ‘ชิปเมดอินไทยแลนด์’

บีโอไอ จับมือ อว. นำทัพเยือนสหรัฐฯ พบบริษัทผู้นำเซมิคอนดักเตอร์ของโลก ชูศักยภาพไทยฐานผลิตสำคัญในภูมิภาค ต่อยอดความสำเร็จของอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ มุ่งสู่การสร้างอุตสาหกรรมการผลิตชิปครบวงจรในประเทศไทย (Made-in-Thailand Chip) พร้อมร่วมเป็นสักขีพยานการลงนาม MOU ระหว่าง อว. กับมหาวิทยาลัยแห่งรัฐแอริโซนา (ASU) สนับสนุนเป้าพัฒนากำลังคนกว่า 80,000 คน ใน 5 ปี

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า บีโอไอพร้อมด้วยกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) และสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงวอชิงตัน ดีซี เดินทางเยือนรัฐแอริโซนา และรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ระหว่างวันที่ 8–12 กันยายน 2568 เพื่อหารือกับบริษัทชั้นนำในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของสหรัฐฯ พร้อมร่วมเป็นสักขีพยานในการลงนามความร่วมมือ (MOU) ระหว่างกระทรวง อว. และมหาวิทยาลัยแห่งรัฐแอริโซนา (ASU) ซึ่งเป็นสถาบันหลักในการพัฒนาบุคลากรด้านเซมิคอนดักเตอร์ของสหรัฐฯ ขณะที่รัฐแอริโซนา ถือเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ที่มีบริษัทชั้นนำตั้งอยู่เป็นจำนวนมาก เช่น บริษัท TSMC, Intel, NXP, Microchip และ Amkor

การจัดโรดโชว์ครั้งนี้ เป็นการต่อยอดการเยือนสหรัฐฯ เมื่อเดือนเมษายน 2568 ที่ผ่านมา ซึ่งครั้งนั้นได้พบกับสมาคมอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์สหรัฐฯ (SIA) สมาคมผู้ประกอบการเซมิคอนดักเตอร์นานาชาติ (SEMI) สภาธุรกิจสหรัฐฯ-อาเซียน และบริษัทชั้นนำในกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ โดยโรดโชว์ทั้งสองครั้งนี้มีจุดประสงค์เพื่อผลักดันเป้าหมายของคณะกรรมการนโยบายอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูงแห่งชาติ (บอร์ดเซมิคอนดักเตอร์) ให้บรรลุผล 2 ประการคือ 1) ดึงดูดการลงทุนในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง ไม่น้อยกว่า 5 แสนล้านบาทใน 5 ปี (พ.ศ. 2568 – 2572) โดยเฉพาะอุตสาหกรรมต้นน้ำที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง และ 2) พัฒนาบุคลากรด้านเซมิคอนดักเตอร์ ไม่น้อยกว่า 80,000 คนใน 5 ปี เพื่อสร้างฐานกำลังคนรองรับอุตสาหกรรมอนาคต

เจาะอุตฯ เซมิคอนดักเตอร์ชั้นนำของสหรัฐฯ

“เซมิคอนดักเตอร์” กลายมาเป็นอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ของโลก เพราะเป็นหัวใจสำคัญของการผลิตหน่วยประมวลผล และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ระดับสูง ปัจจุบันมีมูลค่าตลาดโลกกว่า 6 แสนล้านเหรียญสหรัฐและคาดว่าจะเพิ่มเป็นกว่า 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ภายในปี 2030 จากความต้องการชิปรุ่นใหม่ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น AI ดาต้าเซ็นเตอร์ ยานยนต์สมัยใหม่ สมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์ ระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์ โดยสหรัฐอเมริกาถือเป็นผู้นำในเกือบทุกเซกเมนต์ ไม่ว่าจะเป็นชิปประมวลผล ชิปสำหรับ AI ชิปด้านการส่งสัญญาณต่าง ๆ ฯลฯ

ในโรดโชว์ครั้งนี้ บีโอไอและทีมไทยแลนด์ได้พบกับบริษัทเซมิคอนดักเตอร์ระดับโลกกว่า 10 ราย ประกอบด้วย บริษัทที่มีฐานผลิตในไทยอยู่แล้ว โดยได้เชิญชวนให้ขยายการลงทุน โดยเฉพาะการผลิตในระดับต้นน้ำที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง เช่น

Microchip ผู้นำในตลาดชิปประเภทไมโครคอนโทรลเลอร์ (MCU) และระบบอัจฉริยะในยานยนต์ การสื่อสาร และอุตสาหกรรมอวกาศ โดยมีการลงทุนประกอบและทดสอบชิปในไทยมากว่า 30 ปี ได้รับการส่งเสริมจากบีโอไอ 12 โครงการ

Analog Devices (ADI) ผู้นำด้านชิปอนาล็อก ชิปส่งสัญญาณ และเซนเซอร์อัจฉริยะที่ใช้ในอุตสาหกรรมยานยนต์ การสื่อสาร การแพทย์ และการควบคุมการผลิต มีการลงทุนทดสอบชิปในไทย และอยู่ระหว่างเตรียมจัดตั้งศูนย์วิจัยและออกแบบชิปต้นน้ำในไทย

Lumentum ผู้นำด้านการออกแบบ และผลิตชิปในกลุ่มสื่อสารด้วยแสงและเลเซอร์สำหรับงานอุตสาหกรรม ได้ลงทุนตั้งศูนย์ประกอบและทดสอบชิปที่ใหญ่ที่สุดในเครือในไทยตั้งแต่ปี 2558

NXP Semiconductors ผู้นำด้านชิปสำหรับยานยนต์ ความปลอดภัยดิจิทัล และการสื่อสารไร้สาย โดยลงทุนในไทยมากว่า 50 ปี ได้รับการส่งเสริมจากบีโอไอ 6 โครงการ และมีการขยายอย่างต่อเนื่อง จนเป็นหนึ่งในฐานการประกอบและทดสอบชิปที่ใหญ่ที่สุดในเครือ

นอกจากนี้ ยังได้พบหารือกับบริษัทชั้นนำในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ที่ยังไม่มีการลงทุนด้านนี้ในไทย เพื่อเชิญชวนให้เข้ามาลงทุนในไทย เช่น

Intel บริษัทชิปประมวลผลรายใหญ่ของโลก ผู้พัฒนาและผลิตชิปสำหรับคอมพิวเตอร์ ดาต้าเซ็นเตอร์ และระบบ AI

Qorvo ผู้ผลิตชิปสำหรับอุปกรณ์และระบบที่ต้องใช้การเชื่อมต่อไร้สาย ครอบคลุมอุตสาหกรรมหลากหลาย เช่น สมาร์ทโฟน โครงสร้างพื้นฐาน IoT และพลังงาน

Synopsys ผู้นำด้านการโปรแกรมออกแบบผลิตภัณฑ์ชิป ซึ่งให้บริการครอบคลุมตั้งแต่การออกแบบชิปจนถึงกระบวนการผลิต (Electronic Design Automation: EDA) อันดับหนึ่งของโลก

Renesas หนึ่งในผู้ผลิตชิปประมวลผลประเภทไมโครคอนโทรลเลอร์ (MCU) สำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก

Bechtel บริษัทวิศวกรรมและก่อสร้างระดับโลก ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสำหรับโรงงานผลิตชิปและโครงการเมกะโปรเจกต์

จากการหารือ หลายบริษัทแสดงความสนใจ และจะเริ่มทำงานร่วมกับบีโอไอและกระทรวง อว. เพื่อศึกษารายละเอียดในการขยายกิจการด้านการวิจัยและพัฒนา การตั้งศูนย์ออกแบบชิป การประกอบและทดสอบชิปขั้นสูงในไทย โดยบริษัทต่าง ๆ ได้ย้ำถึงการสร้างกำลังคนให้เพียงพอ ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดที่มีผลต่อการลงทุน

สร้างกำลังคนอย่างก้าวกระโดด ผ่านการร่วมมือกับมหาวิทยาลัยแห่งรัฐแอริโซนา (ASU)

เพื่อตอบโจทย์ด้านการพัฒนาบุคลากรไทย คณะได้เข้าหารือกับมหาวิทยาลัยแห่งรัฐแอริโซนา (ASU) ซึ่งได้รับการจัดอันดับเป็นมหาวิทยาลัยนวัตกรรมอันดับ 1 ของสหรัฐฯ และเป็น 1 ใน 3 สถาบันที่รัฐบาลสหรัฐฯ เลือกให้เป็นที่ตั้งศูนย์วิจัยเทคโนโลยีเซมิคอนดักเตอร์แห่งชาติ รวมทั้งเป็นมหาวิทยาลัยที่ได้รับเงินสนับสนุนเพื่อพัฒนาเซมิคอนดักเตอร์ภายใต้ CHIPS Act มากที่สุดในสหรัฐฯ ทั้งนี้ บีโอไอเข้าร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนาม MOU ระหว่างกระทรวง อว. และ ASU ซึ่งครอบคลุมการพัฒนาหลักสูตร การวิจัยร่วม การแลกเปลี่ยนอาจารย์–นักศึกษา การฝึกอบรมเพื่อ Upskill/Reskill วิศวกรและแรงงาน รวมถึงการจัดตั้งศูนย์ความเป็นเลิศด้านเซมิคอนดักเตอร์ในไทย

“ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตอิเล็กทรอนิกส์มากว่า 50 ปี โดยเฉพาะในขั้นตอนการประกอบและทดสอบ และมีศักยภาพที่จะต่อยอดไปสู่ต้นน้ำที่มีเทคโนโลยีและมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการวิจัยและพัฒนาการออกแบบชิป การผลิตแผ่นเวเฟอร์ หรือการประกอบและทดสอบชิปขั้นสูง ซึ่งจำเป็นต้องดึงดูดบริษัทที่เป็นผู้นำในอุตสาหกรรมเข้ามาลงทุน ควบคู่กับการสร้าง Ecosystem ให้พร้อม โดยเฉพาะการสร้างซัพพลายเชนในประเทศ และการพัฒนาบุคลากรไทยด้านเซมิคอนดักเตอร์ ด้วยการทำงานอย่างใกล้ชิดของภาครัฐ ภาคอุตสาหกรรมภาคการศึกษา รวมทั้งสถาบันชั้นนำจากต่างประเทศ เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายให้ไทยสามารถสร้างอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ครบวงจรในประเทศ หรือ Made-in-Thailand Chip” นายนฤตม์ กล่าว

ทั้งนี้ ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (2565 – 2567) มีการขอรับส่งเสริมการลงทุนในกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูงถึง 406 โครงการ รวมมูลค่าเงินลงทุนกว่า 6 แสนล้านบาท โดยส่วนใหญ่เป็นการลงทุนจากสหรัฐฯ ญี่ปุ่น ยุโรป จีน และไต้หวัน.

Login

Welcome! Login in to your account

Remember me Lost your password?

Lost Password