‘เอกนัฏ’ เปิดหลักสูตร ผู้นำอุตสาหกรรมสีเขียว ‘SGIL’ รุ่นที่1

“เอกนัฏ”เปิดหลักสูตร“ผู้นำอุตสาหกรรมยั่งยืนและสีเขียว”(Sustainable Green Industry Leadership:SGIL) รุ่นที่ 1ประกาศเดินหน้าผลักดันภาคอุตสาหกรรมไทยสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนเต็มรูปแบบ ลุยแก้ปัญหาเชิงรุกจัดการผู้ประกอบการที่ฝ่าฝืนกฎหมาย ย้ำเดินหน้าบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังควบคู่ไปกับการส่งเสริมผู้ประกอบการที่ดีให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งในกติกาใหม่ที่เน้นความยั่งยืน!

นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในพิธีเปิดการอบรมหลักสูตร “Sustainable & Green Industrial Leadership (SGIL)” รุ่นที่ 1 จัดโดย สถาบันวิทยาการอุตสาหกรรม กนอ. ภายใต้การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) พร้อมกล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “ทิศทางการพัฒนาอุตสาหกรรมสู่ความยั่งยืน”เมื่อ 14 มิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา โดยได้ประกาศจุดยืนและทิศทางใหม่เชิงยุทธศาสตร์สำหรับภาคอุตสาหกรรมไทย และชี้ว่าโมเดลการแข่งขันด้านราคาที่มุ่งเน้น“การผลิตของถูก”ได้นำพาประเทศไปสู่ทางตันและสร้างปัญหาเชิงโครงสร้าง ดังนั้น ถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนกระบวนทัศน์สู่การแข่งขัน เพื่อสร้างความยั่งยืนและคืนมูลค่าสู่คนไทยอย่างแท้จริง
นายเอกนัฏ กล่าวว่า ที่ผ่านมา ประเทศไทยเผชิญกับปัญหาที่เกิดจากทัศนคติที่มุ่งเน้นแต่ของถูก ซึ่งสร้างผลกระทบในวงกว้าง มีการลักลอบนำเข้าสินค้าผิดกฎหมายและไร้คุณภาพสูง เช่น พลาสติก, เศษเหล็ก, และขยะอิเล็กทรอนิกส์ (E-waste) ซึ่งกระจายไปทั่วประเทศและสร้างมลพิษร้ายแรงต่อสิ่งแวดล้อม ขณะเดียวกันเกิด “อุตสาหกรรมศูนย์เหรียญ” และการใช้ “ทุนนอมินี” เป็นช่องทางให้ทุนต่างชาติเข้ามายึดครองภาคบริการและการผลิต แม้ตัวเลขการลงทุน (FDI) จะดูเป็นที่น่าพอใจ แต่เม็ดเงินกลับไม่ได้สร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจให้ประเทศอย่างแท้จริง โดยภาคการผลิตจำนวนมากยังคงพึ่งพาการนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศ ใช้แรงงานต่างด้าว แล้วเพียงปั๊มตราสินค้าไทย ผลิตสินค้าเถื่อน โดยไม่ได้สร้างนวัตกรรมหรือคุณค่าที่แท้จริง การมุ่งลดต้นทุนนำไปสู่สินค้าที่อันตรายต่อผู้บริโภค เช่น เหล็กคุณภาพต่ำในงานก่อสร้าง, สายไฟที่ไม่ได้มาตรฐาน, และอะไหล่รถยนต์ที่เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้เสนอทิศทางใหม่โดยให้เปลี่ยนจากการแข่งขันที่ราคา มาเป็นการแข่งขันที่คุณภาพและความรับผิดชอบ อาทิ การจัดการอุตสาหกรรมศูนย์เหรียญ และผลักดันการแข่งขันด้วย คุณภาพของสินค้า ไม่ใช่แค่ของถูก ไร้คุณภาพ และไม่ปลอดภัย การผลิต”ของที่ถูกต้อง” ที่รับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมในทุกขั้นตอน ปลอดภัยต่อผู้บริโภค และยกระดับมาตรฐานคุณภาพสินค้าไทยให้ตอบรับผู้บริโภคยุคใหม่ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม การคัดสรรนักลงทุนที่ดี โดยใช้ความได้เปรียบทางยุทธศาสตร์ของประเทศ ดึงดูดนักลงทุนที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม พร้อมใช้วัตถุดิบของประเทศและแรงงานไทย เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ชาติ ขณะเดียวกันให้มองมาตรการจากภายนอก เช่น กติกาการค้าโลกด้านสิ่งแวดล้อม ให้เป็นโอกาสในการพัฒนาศักยภาพอุตสาหกรรมไทย
“สิ่งที่ผมอยากฝากไว้กับผู้เข้าร่วมหลักสูตรฯ ก็คือ การนำความรู้และวิสัยทัศน์นี้ไปปรับใช้ เพื่อผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในภาคอุตสาหกรรมไทยอย่างยั่งยืน โดยมีหัวใจสำคัญคือ “ไม่แข่งกันทำของถูก แต่แข่งกันทำของที่ถูกต้อง” ทั้งการถูกต้องต่อกฎระเบียบ ถูกต้องต่อผู้บริโภค และถูกต้องต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขันแห่งอนาคต และคืนคุณค่าทางเศรษฐกิจและสังคมกลับสู่คนไทยอย่างยั่งยืน”นายเอกนัฏ กล่าว
นายณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวเสริมว่า ปัจจุบันภาคอุตสาหกรรมไทยกำลังเผชิญความท้าทายจากการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม ทั้งจากปัญหาภายในที่โรงงานบางแห่งลักลอบก่อมลพิษหรือหลบเลี่ยงภาษีเพื่อลดต้นทุน และภัยคุกคามภายนอกจากผลพวงของสงครามการค้าที่นำไปสู่ปัญหาการสวมสิทธิ์สินค้า ซึ่งการกระทำเหล่านี้ล้วนบ่อนทำลายผู้ประกอบการที่ปฏิบัติตามกฎระเบียบอย่างจริงจัง เพื่อจัดการกับปัญหาเหล่านี้อย่างเป็นรูปธรรม กระทรวงฯ ภายใต้การนำของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม จึงได้มอบหมายให้ นายพงศ์พล ยอดเมืองเจริญ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นผู้นำการขับเคลื่อนกลไกการทำงานเชิงรุกผ่านระบบ “แจ้งอุต” เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรับเรื่องร้องเรียนและแก้ไขปัญหาอย่างรวดเร็ว ซึ่งได้พิสูจน์ผลงานเชิงประจักษ์แล้วด้วยการแก้ไขเรื่องร้องเรียนของประชาชนหลายร้อยเรื่องสำเร็จภายในกรอบเวลา 14 วัน ซึ่งความสำเร็จดังกล่าวสะท้อนถึงจุดยืนที่ชัดเจนของกระทรวงฯ ที่จะบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด และ “เอาจริงกับผู้ที่ฝ่าฝืน”
พร้อมกันนี้ ขอเรียกร้องให้โรงงานอุตสาหกรรมทุกแห่งปฏิบัติตามกฎระเบียบและดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด และขอเชิญชวนทุกภาคส่วนร่วมมือกันผลักดันนโยบายนี้ เพื่อสร้างอนาคตที่ยั่งยืนและแข็งแกร่งให้กับภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทยต่อไป

นายยุทธศักดิ์ สุภสร ประธานกรรมการ กนอ. กล่าวว่า ปัญหาสำคัญของภาคอุตสาหกรรมคือการขาดแคลนแรงงานทักษะสูงและปัญหาทักษะไม่ตรงกับความต้องการ (Skill Mismatch) ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อขีดความสามารถในการแข่งขันและการดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ (FDI) ดังนั้น สถาบันวิทยาการอุตสาหกรรม กนอ. จึงถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นกลไกหลักในการแก้ไขปัญหานี้ ผ่านภารกิจสำคัญ 3 ด้าน คือ จัดทำหลักสูตรอบรมที่ตอบโจทย์อุตสาหกรรมโดยตรง (Industry-Led Training) สร้างฐานข้อมูลแรงงาน (Workforce Database) เป็นศูนย์กลางเชื่อมโยงเครือข่าย (Networking Hub) โดยมีเป้าหมายสูงสุดเพื่อสร้างระบบนิเวศอุตสาหกรรมที่แข็งแกร่งและพัฒนาแรงงานให้มีทักษะแห่งอนาคต (Future Skill Labor) รองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมเป้าหมาย (New S-Curve) ได้อย่างแท้จริง โดยการพัฒนาฯ แบ่งเป็น 3 ระยะ คือ ระยะสั้น (1-5 ปี) ระยะกลาง (6-10 ปี) และระยะยาว (11-30 ปี) โดยเป้าหมาย คือ การเป็นศูนย์กลางการพัฒนาแรงงานระดับประเทศและสร้างความยั่งยืนให้กับภาคอุตสาหกรรมไทย
นายธนวัฒน์ ปัญญาสกุลวงศ์ กรรมการ กนอ. รักษาการในตำแหน่ง ผู้ว่าการ กนอ. กล่าวเสริมว่า หลักสูตร SGIL รุ่นที่ 1 ถูกออกแบบมาอย่างมีเป้าหมาย เพื่อพัฒนาผู้บริหารให้สามารถนำพาองค์กรปรับตัวสู่เศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเนื้อหามุ่งเน้นการเตรียมความพร้อมในประเด็นสำคัญโดยตรง ได้แก่ การบรรลุเป้าหมายระดับชาติ คือ ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ในปี 2593 การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ในปี 2608 และการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ BCG การรับมือกับกติกาการค้าใหม่ โดยเฉพาะมาตรการปรับคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดนของยุโรป (CBAM) และกฎหมายด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของไทยที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
สำหรับหลักสูตร “Sustainable & Green Industrial Leadership (SGIL) รุ่นที่ 1” มีผู้บริหารระดับสูงจากทั้งภาครัฐ เอกชน และผู้ประกอบการในนิคมอุตสาหกรรม ซึ่งล้วนเป็นบุคลากรสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศ เข้าร่วมรวม 67 คน โดยตลอดการอบรมประมาณ 9 ครั้ง จะมุ่งเน้นการพัฒนาทักษะด้านการบริหารจัดการที่ยั่งยืน การรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการสร้างเครือข่ายความร่วมมือ ผ่านการเรียนรู้ที่หลากหลายทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติ เช่น การทำเวิร์กชอป และการศึกษาดูงานในสถานประกอบการชั้นนำ เพื่อให้ผู้เข้าอบรมสามารถนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมไทยได้จริง.