‘ไทยออยล์’ วิเคราะห์ราคาน้ำมันดิบ ฟื้นตัวเล็กน้อยจากการเจรจาข้อตกลงนิวเคลียร์สหรัฐฯ และอิหร่าน

บมจ.ไทยออยล์ วิเคราะห์สถานการณ์น้ำมันประจำสัปดาห์ ระบุว่า ราคาน้ำมันดิบมีแนวโน้มฟื้นตัวเล็กน้อยจากความไม่แน่นอนเรื่องการเจรจาข้อตกลงนิวเคลียร์สหรัฐฯ และอิหร่าน คาดราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสในสัปดาห์นี้จะเคลื่อนไหวที่กรอบ 58-68 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ส่วนน้ำมันดิบเบรนท์เคลื่อนไหวที่กรอบ 60-70 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล

แนวโน้มสถานการณ์ราคาน้ำมันดิบ (23 – 29 พ.ค. 68)

ราคาน้ำมันดิบมีแนวโน้มฟื้นตัวเล็กน้อยจากความไม่แน่นอนของการเจรจาข้อตกลงนิวเคลียร์ระหว่างสหรัฐฯ และอิหร่าน ขณะที่สถานการณ์ระหว่างรัสเซียและยูเครนยังไร้ข้อสรุป แม้จะมีความพยายามทางการทูตและมาตรการคว่ำบาตรรอบใหม่จากสหภาพยุโรปและสหราชอาณาจักร อย่างไรก็ดี ราคาน้ำมันยังเผชิญแรงกดดันจากแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนที่ยังจำกัด แม้มีการผ่อนคลายนโยบายการเงิน ขณะเดียวกัน สหรัฐฯ ยังคงเผชิญแรงกดดันจากระดับหนี้สาธารณะที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งส่งผลต่อความเชื่อมั่นของตลาด ทั้งนี้ ตลาดยังจับตาการประชุมกลุ่มโอเปกพลัสในช่วงสัปดาห์หน้าที่จะมีการพิจารณาการปรับเพิ่มกำลังการผลิตในเดือน ก.ค.68

ปัจจัยสำคัญที่คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ราคาน้ำมันในสัปดาห์นี้

ตลาดจับตาผลการเจรจาเกี่ยวกับข้อตกลงนิวเคลียร์ระหว่างสหรัฐฯ และอิหร่านที่ยังไม่แน่นอน โดยรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศโอมาน เผยว่าการเจรจานิวเคลียร์รอบใหม่ระหว่างสหรัฐฯ และอิหร่านจะมีขึ้นในวันที่ 23 พ.ค.68 ณ กรุงโรม แม้ก่อนหน้านี้ สำนักข่าว CNN รายงานโดยอ้างอิงแหล่งข่าวจากเจ้าหน้าที่รัฐบาลสหรัฐฯ ว่าอิสราเอลกำลังเตรียมการโจมตีฐานปฏิบัติการนิวเคลียร์ของอิหร่าน ท่ามกลางการเจรจาทางการทูตกับอิหร่านภายใต้การนำของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ก็ตาม ทั้งนี้ ความเคลื่อนไหวดังกล่าวสะท้อนถึงความเสี่ยงที่อาจนำไปสู่ความขัดแย้งที่ลุกลามในภูมิภาคตะวันออกกลาง อย่างไรก็ดี ตลาดคาดว่าท่าทีของอิสราเอลอาจขึ้นอยู่กับมุมมองต่อข้อตกลงนิวเคลียร์ที่สหรัฐฯ กำลังเจรจากับอิหร่าน ทั้งนี้ อิหร่านถือเป็นผู้ผลิตน้ำมันดิบรายใหญ่อันดับ 3 ในกลุ่มโอเปกและมีกำลังการผลิตน้ำมันดิบราว 3.4 ล้านบาร์เรลต่อวัน

ขณะเดียวกัน สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงหยุดยิง แม้ว่าสหรัฐฯ พยายามผลักดันให้เกิดข้อตกลงในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม สหภาพยุโรปและสหราชอาณาจักรได้ประกาศเพิ่มมาตรการคว่ำบาตรต่อรัสเซีย รวมถึงมีการเรียกร้องให้ปรับลดเพดานราคาน้ำมันดิบรัสเซียจากระดับปัจจุบันที่ 60 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ลงสู่ระดับ 50 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อปริมาณน้ำมันดิบรัสเซียที่เข้าสู่ตลาดโลก

ตลาดยังติดตามแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน เนื่องจากธนาคารกลางจีนประกาศลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้าชั้นดีเป็นครั้งแรกในรอบ 7 เดือน โดยปรับลดอัตราดอกเบี้ย LPR ประเภท 1 ปีลง 0.10% สู่ระดับ 3.00% และประเภท 5 ปีลง 0.10% สู่ระดับ 3.50% เพื่อกระตุ้นการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ท่ามกลางแรงกดดันจากความตึงเครียดทางการค้าระหว่างประเทศ ทั้งนี้ ดัชนียอดค้าปลีกเดือนเมษายนที่ผ่านมาของจีนยังปรับเพิ่มขึ้นน้อยกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ สะท้อนถึงความเปราะบางของเศรษฐกิจภายในประเทศ

ตลาดยังคงมีความกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ แม้ว่าจะมีการผ่อนปรนมาตรการภาษีการค้ากับจีนก็ตาม ทั้งนี้ สถาบันจัดอันดับเครดิตมูดี้ส์ (Moody’s) ได้ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐฯ ลง 1 ขั้น จากระดับ Aaa สู่ระดับ Aa1 โดยให้เหตุผลว่าอัตราหนี้สาธารณะของสหรัฐฯ มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากปัจจุบันที่อยู่ที่ระดับ 97% ของ GDP คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 134% ของ GDP ภายในปี พ.ศ. 2578

ตลาดจับตาผลการประชุมของสมาชิกกลุ่มโอเปกพลัสที่จะจัดขึ้นในวันที่ 1 มิ.ย. 68 นี้เพื่อติดตามและประเมินผลการดำเนินงานตามแผนการผลิตน้ำมันดิบของแต่ละกลุ่มประเทศสมาชิกในช่วงเดือน มี.ค. และ เม.ย. ที่ผ่านมา อย่างไรก็ดี ตลาดคาดกลุ่มโอเปกพลัสยังคงเดินหน้าเพิ่มกำลังการผลิตที่ระดับสูงต่อเนื่องตามแผนที่ได้เปิดเผยก่อนหน้า

ตัวเลขทางเศรษฐกิจที่สำคัญที่น่าติดตามในสัปดาห์นี้ คือ ตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯ ได้แก่ ดัชนีจีดีพีไตรมาส 1/68 รายงานความเชื่อมั่นผู้บริโภคจากซีบี เดือน พ.ค. 68 ดัชนีราคาด้านการบริโภคส่วนบุคคล เดือน เม.ย. 68 และดัชนีราคาการใช้จ่ายด้านการบริโภคส่วนบุคคลพื้นฐาน เดือน เม.ย. 68 ตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของยุโรป ได้แก่ ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม เดือน พ.ค. 68 ดัชนีความเชื่อมั่นภาคบริการ เดือน พ.ค. 68 และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค เดือน พ.ค. 68 และตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของจีน ได้แก่ ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิต เดือน พ.ค. 68 และดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อนอกภาคการผลิต เดือน พ.ค. 68

สรุปสถานการณ์ราคาน้ำมันในสัปดาห์ที่ผ่านมา (16 – 22 พ.ค. 68)

ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสในสัปดาห์ที่ผ่านมาปรับลดลง 1.95 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลมาอยู่ที่ 61.20 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ในขณะที่ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ปรับลดลง 1.65 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ 64.44 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ส่วนราคาน้ำมันดิบดูไบปิดเฉลี่ยอยู่ที่ 63.89 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล เนื่องจากตลาดยังคงกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้า หลังจากนายสก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ กล่าวว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะเรียกเก็บภาษีศุลกากรในอัตราที่เขาประกาศไว้เมื่อวันที่ 2 เม.ย. 68 ต่อประเทศคู่ค้าที่ไม่เจรจาข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ อย่างสุจริตใจ ด้านสำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) เปิดเผยยอดค้าปลีกเดือนเม.ย. ปรับตัวขึ้น 5.1% เทียบปีก่อนหน้า ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์ที่ระดับ 5.5% สะท้อนภาคการอุปโภคบริโภคของจีนยังคงซบเซา ขณะที่ด้านสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐฯ (EIA) เปิดเผยตัวเลขน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ ประจำสัปดาห์สิ้นสุด ณ วันที่ 16 พ.ค. 68 เพิ่มขึ้น 1.3 ล้านบาร์เรล สู่ระดับ 443.2 ล้านบาร์เรล สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะลดลง 1.3 ล้านบาร์เรล อย่างไรก็ดี ราคายังได้รับแรงหนุนจากการที่การเจรจาเพื่อบรรลุข้อตกลงนิวเคลียร์ครั้งใหม่ของอิหร่านยังไม่คืบหน้า โดยสหรัฐฯ ยืนกรานให้อิหร่านลดระดับการเสริมสมรรถนะยูเรเนียม ขณะเดียวกัน ราคายังได้รับแรงหนุนจากการที่สหภาพยุโรปและอังกฤษได้ประกาศเพิ่มมาตรการคว่ำบาตรต่อรัสเซียเพิ่มเติม

Login

Welcome! Login in to your account

Remember me Lost your password?

Lost Password