ดัชนี MPI ส.ค. 2567 หดตัวร้อยละ 1.91 คาดปีนี้หดตัวร้อยละ 1.0-0.0

สศอ. เผย ดัชนี MPI ส.ค. 2567 หดตัวร้อยละ 1.91 อยู่ที่ระดับ 95.08 หดตัวร้อยละ 1.91 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้ 8 เดือนแรก หดตัวเฉลี่ยร้อยละ 1.55 หลังรับแรงกดดันจากปัญหาหนี้ภาคครัวเรือน คาดปี 2567 หดตัวร้อยละ 1.0 – 0.0 ด้าน GDP ภาคอุตสาหกรรม หดตัวร้อยละ 0.5

นางวรวรรณ ชิตอรุณ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) เปิดเผยว่า ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) เดือนสิงหาคม 2567 อยู่ที่ระดับ 95.08 หดตัวร้อยละ 1.91 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีอัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ร้อยละ 58.30 ส่งผลให้ 8 เดือนแรกของปี 2567 หดตัวเฉลี่ยร้อยละ 1.55 และมีอัตราการใช้กำลังการผลิตเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 58.96 ขณะที่ การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม (ไม่รวมทองคำ อาวุธ รถถัง และอากาศยานรบ) ขยายตัวร้อยละ 8.1 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยการผลิตยานยนต์ยังคงปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 13 จากปัญหาหนี้ภาคครัวเรือน สถาบันการเงินมีความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อและยอดปฏิเสธสินเชื่ออยู่ในระดับสูง

รวมถึงสินค้านำเข้าราคาถูกมีแนวโน้มเติบโตเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะการเลือกซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ ส่งผลต่อผู้ประกอบการไทย ขณะเดียวกัน ต้นทุนภาคการผลิตปรับตัวขึ้นตามราคาวัตถุดิบที่ปรับเพิ่มขึ้น รวมทั้งภาวะดอกเบี้ยที่ทรงตัว และต้นทุนพลังงานจากราคาน้ำมันดีเซลยังคงอยู่ในระดับสูง นอกจากนี้ สถานการณ์น้ำท่วมในภาคเหนือ ทําให้การเดินทาง การจัดส่งสินค้า การค้าชายแดน และการผลิตชะงักลง โรงงานอุตสาหกรรมบางแห่งจําเป็นต้องหยุดดําเนินการ และสถานประกอบการท่องเที่ยวในพื้นที่เสี่ยงต้องปิดตัวชั่วคราว

“จากตัวเลขดัชนี MPI 8 เดือนแรก ปี 2567 หดตัวร้อยละ 1.55 ส่งผลให้ สศอ. ปรับประมาณการ ปี 2567 คาดว่าดัชนี MPI หดตัวร้อยละ 1.0 – 0.0 และการขยายตัวของเศรษฐกิจ (GDP) ภาคอุตสาหกรรม หดตัวร้อยละ 0.5 ถึงขยายตัวร้อยละ 0.5 โดยมีปัจจัยที่ต้องเฝ้าระวัง คือ อัตราดอกเบี้ยนโยบาย จากสถานการณ์เงินเฟ้อของเศรษฐกิจโลกที่ลดลง ส่งผลนโยบายการเงินในหลาย ๆ ประเทศเริ่มผ่อนคลาย อัตราแลกเปลี่ยนจากค่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว จากอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐปรับตัวลดลง ส่งผลให้เงินทุนไหลออกมายังประเทศในแถบ ASEAN รวมถึงประเทศไทย”

“โดยคาดว่าอาจจะส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกและการท่องเที่ยวในช่วงนี้ที่กำลังขยายตัวอย่างต่อเนื่อง และส่งผลมายังภาคการผลิต โดยเฉพาะด้านอุปโภคและบริโภค เช่น อาหาร เครื่องดื่ม เครื่องใช้ไฟฟ้า และเสื้อผ้า เป็นต้น รวมถึงสถานการณ์น้ำท่วม กระทบต่อการจับจ่ายใช้สอยของประชากรในพื้นที่ และหากการฟื้นฟูหลังน้ำท่วมเกิดขึ้นอย่างล่าช้า จะส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อและการผลิตในภูมิภาค นอกจากนี้ ค่าแรงขั้นต่ำที่มีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นเป็นวันละ 400 บาท จะกระทบต้นทุนการผลิตของผู้ประประกอบการ และการเลือกตั้งของสหรัฐอเมริกา อาจจะส่งผลต่อการกำหนดนโยบายทางเศรษฐกิจและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ จึงจำเป็นต้องหาแนวทางการรับมือกับนโยบายทางการค้าที่อาจเปลี่ยนแปลง” นางวรวรรณ กล่าว.

Login

Welcome! Login in to your account

Remember me Lost your password?

Lost Password