เบื้องลึก! “ปานปรีย์” ลาออก หลายฝ่ายแห่ชื่นชม “เศรษฐา” ขอโทษ ทำให้ผิดหวัง
การลาออกของ”ปานปรีย์ พหิธานุกร” สร้างแรงสั่นสะเทือน ต่อความมั่นคงในรัฐบาล “เศรษฐา ทวีสิน” เป็นอย่างมาก โดยเจ้าตัวออกปากขอโทษที่ทำให้ผิดหวัง แต่ยืนยันจำเป็นต้องปรับ ขณะที่ “ภูมิธรรม เวชยชัย” บอกไม่มีวี่แววมาก่อน และ อยากเจอพูดคุยกันอีกครั้ง โดยที่ ครม.ยังได้แต่ตั้ง “ภูมิธรรม” ให้ทำหน้าที่รักษาการณ์ เก้าอี้ รมว.ต่างประเทศ
เหตุผลสำคัญอย่างแรก นั่นคือ การถูกปรับตำแหน่งลงจากรองนายกฯ ครั้งนี้ นายปานปรีย์ รู้สึกว่าน้อยใจ และเหมือนถูกลงโทษ เพราะรายชื่อที่ได้รับการโปรดเกล้าฯ ลงมานั้น เป็นการปรับรองนายกฯ ออกเพียงคนเดียว และหวยก็มาออกที่นายปานปรีย์ ทั้งที่ผลงานในช่วงที่ผ่านมาก็มีหลายเรื่องที่ผลักดันออกมาอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ และ นายพิชัย ชุณหวชิร กลับถูกตั้งขึ้นมาเป็นรองนายกฯ คนใหม่แทน โดย นายสุริยะ ให้ควบรองนายกฯ อีกตำแหน่งนอกเหนือจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ก็เป็นหนึ่งในโควตาพรรค
แต่กรณีการตั้ง นายพิชัย ขึ้นมาเป็นรองนายกฯ นั้น เป็นที่น่าสังเกตว่า ทั้ง ๆ ที่นายพิชัย ก็ไม่ได้มีตำแหน่งอะไรในพรรคเพื่อไทย และยังไม่มีผลงานอะไร แต่กลับได้ตำแหน่งใหญ่ ทั้งรองนายกฯ คุมเศรษฐกิจ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แทนนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นกระทรวงเศรษฐกิจเบอร์หนึ่งของประเทศ
เหตุผลอีกอย่าง มีความเป็นไปได้ว่า นายปานปรีย์ รู้สึกว่าเป็นการปรับตำแหน่งตนเองออกกะทันหัน โดยที่ก่อนหน้านี้ไม่ได้มีการพูดคุยกันมาก่อน นั่นเพราะก่อนหน้าจะมีการปรับครม. นายปานปรีย์ เพิ่งจะมีการหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อวางแผนการทำงานในช่วง 6 เดือนที่เหลือของปี 2567 โดยเฉพาะการดึงดูดนักลงทุน และงานด้านการต่างประเทศ ในฐานะรองนายกฯ ที่ดูแลงานด้านการส่งเสริมการลงทุนเป็นหลัก
ส่วนผลงานของนายปานปรีย์ ที่ผ่านมานั้น เมื่อย้อนกลับไปดูแล้ว พบว่า มีผลงานที่น่าสนใจหลายเรื่อง เช่น การผลักดันการปรับขึ้นเงินเดือนข้าราชการ บรรจุใหม่ โดยเฉพาะผู้จบปริญญาตรี จะมีอัตราเงินเดือนแตะ 18,000 บาทต่อเดือน
เช่นเดียวกับการแบ่งจ่ายเงินเดือนข้าราชการสองงวด รวมทั้งการดึงดูดการลงทุนจากนักลงทุนต่างชาติ รวมทั้งการผลักดันประเทศไทย ในการสมัครเข้าเป็นสมาชิกองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา หรือ OECD ขณะที่ด้านการต่างประเทศนั้น ผลงานเด่น ๆ ในช่วงที่ผ่านมา ส่วนใหญ่เป็นการเดินทางเจรจาความสัมพันธ์ทางด้านเศรษฐกิจ การค้า และความมั่นคงกับชาติมหาอำนาจหลายประเทศ เพื่อการดึงดูดการค้าและการลงทุนระหว่างกัน เช่นเดียวกับการเจรจาเรื่องของการให้ฟรีวีซ่า ในประเทศสำคัญของไทย ทั้งจีน และอินเดีย
สำหรับประวัติ นายปานปรีย์ พหิทธานุกร เกิดเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2500 เกิดในครอบครัวข้าราชการ โดยมีพระพหิทธานุกร ซึ่งเป็นปู่ เคยเป็นปลัดกระทรวงการต่างประเทศ และเป็นทูตในหลายประเทศ ส่วนพ่อ คือนายปรีชา พหิทธานุกร ซึ่งทำงานในกระทรวงการต่างประเทศ โดยเขาเคยให้สัมภาษณ์ก่อนหน้านี้ว่า ในช่วงตอนเด็ก ๆ ได้มีโอกาสเดินทางเพื่อติดตามการทำงานในต่างประเทศกับพ่ออยู่โดยตลอด
ส่วนด้านการศึกษานั้น นายปานปรีย์ พหิทธานุกร จบการศึกษาระดับปริญญาตรี ด้านนิติศาสตร์บัณฑิต ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จากนั้นได้เดินทางไปศึกษาระดับปริญญาโท ด้านรัฐประศาสนศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยเซาเทิร์นแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา และจบระดับปริญญาเอก ด้านการบริหารจัดการภาครัฐ ที่ Claremont Graduate University (CGU) สหรัฐอเมริกา
เส้นทางการทำงาน หลังจบการศึกษา ดร.ปานปรีย์ ตัดสินใจก้าวสู่เส้นทางราชการ สังกัดสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี โดยช่วงเวลานี้ ได้มีโอกาสได้ทำงานร่วมกับนายกรัฐมนตรีหลายคน โดยเฉพาะการมีโอกาสได้เข้าไปอยู่ในห้องประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ตั้งแต่สมัยพลเอกเปรม ติณสูลานนท์
ต่อมาในสมัย พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ เป็นนายกฯ ดร.ปานปรีย์ ก็ถูกดึงไปช่วยงานบนตึกไทยคู่ฟ้า ทำให้ได้เห็นการบริหารประเทศอีกมุม โดยพลเอกชาติชาย นอกจากมีฐานะเป็นเจ้านายในการทำงานแล้ว ยังมีศักดิ์เป็นตาของภรรยาของดร.ปานปรีย์ ด้วย จนกระทั่งเกิดเหตุการทางการเมือง หลังจากพลเอกชาติชายถูกปฏิวัติ ดร.ปานปรีย์ ก็ตัดสินใจลาออกจากราชการ ไปอยู่ที่อังกฤษกับพลเอกชาติชาย ก่อนกลับประเทศไทยมาทำงานในภาคเอกชน
จนมาถึงสมัยรัฐบาล พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ ดร.ปานปรีย์ ได้รับแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ด้านเศรษฐกิจและการต่างประเทศ และในปี 2545 เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แบบบัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคชาติพัฒนา
จากนั้นในปี 2546 เป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงพาณิชย์ ระหว่างปี 2546-2548 ได้รับมอบหน้าที่ให้เป็นหัวหน้าคณะเจรจาจัดทำเขตการค้าเสรี (ประเทศอินเดีย และกลุ่มประเทศ BIMST-EC) และในปี 2547 ต่อมาเป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงอุตสาหกรรม
ต่อมาในปี 2548 ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้แทนการค้าไทย และได้รับมอบให้ทำหน้าที่ประธานกรรมการส่งเสริมการลงทุนและการค้าภายใต้กรอบความตกลงเขตการค้าเสรี ประธานกรรมการองค์การคลังสินค้า
จนเมื่อปี 2551 ได้ขึ้นมาเป็นรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย อันดับ 1 รับผิดชอบในฐานะหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ และเป็นกรรมการยุทธศาสตร์พรรค จนล่าสุดได้ก้าวขึ้นมาเป็นรองนายกฯ และรมว.การต่างประเทศ ในสมัยรัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน
นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดห้องสีม่วงบนตึกไทยคู่ฟ้าแจงสื่อมวลชน เคารพการตัดสินใจที่ นายปานปรีย์ พหิทธานุกร อดีตรองนายกฯและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศลาออก ยอมรับการตัดสินใจปรับคณะรัฐมนตรีครั้งนี้ย่อมมีผู้ที่เสียใจผิดหวัง กรณีของนายปานปรีย์ หากทำให้เสียใจก็ขอโทษ ยืนยันได้พูดคุยกับนายปานปรีย์ก่อน เผยกำลังพิจารณาและประสานให้คนใหม่เข้ามาทำหน้าที่ตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว แต่ขอยังไม่เปิดเผย ยอมรับเป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังการทำงานของพรรคเพื่อไทย
สำหรับกรณีของรัฐมนตรีที่ถูกปรับเปลี่ยนกำลังพิจารณาหาตำแหน่งเก้าอี้ที่เหมาะสมเพื่อช่วยในการทำงานเป็นทีมไทยแลนด์ โดยได้มอบหมายให้ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯและ รมว.พาณิชย์ รักษาราชการชั่วคราวในตำแหน่ง รมว.ต่างประเทศไปพลางๆก่อน ซึ่งนายภูมิธรรม เอง ก็ยังรู้สึกงงๆ และ ระบุว่า ไม่มีวี่แววมาก่อน ว่านายปานปรีย์ จะตัเดสินใจอย่างนี้ ส่วนที่มีการมองว่าการปรับ ครม.ครั้งนี้ผิดฝาผิดตัว ก็แล้วแต่คนจะมอง แต่ตนมั่นใจว่าถูกฝาทุกตัว โดยจะเรียกว่าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังคนใหม่และอธิบดีกรมบัญชีกลางเข้าหารือการใช้จ่ายงบประมาณปี 2567
ด้านนายเทพไท เสนพงศ์ อดีตสส.พรรคประชาธิปัตย์ ขอชื่นชมการตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวของนายปานปรีย์ พหิทธานุกร ในการลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ หลังจากมีพระบรมราชโองการ และก่อนการเข้าเฝ้าถวายสัตย์ปฏิญาณ ซึ่งเป็นเรื่องเกินความคาดหมาย เป็นเรื่องที่ไม่เคยมีมาก่อน เป็นการตอบโต้การตัดสินใจของนายกเศรษฐา เหมือนเป็นการหักหน้าหรือดิสเครดิต ทำลายภาวะผู้นำของนายเศรษฐาอย่างชัดเจน ซึ่งเป็นสัญญาณให้เห็นว่าการปรับครม.ครั้งนี้ ไม่ได้เป็นไปด้วยความราบรื่น อาจมีคลื่นใต้น้ำและอาฟเตอร์ช็อกตามมาภายหลังก็เป็นได้ ขอให้จับตาว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้บ้าง.