ส.อ.ท. – สสว. เดินหน้าจัดทำกลไกการปรับตัวเข้าสู่เศรษฐกิจสีเขียว
ส.อ.ท. – สสว. เดินหน้าจัดทำกลไกการปรับตัวเข้าสู่เศรษฐกิจสีเขียว กระตุ้น SME รับมือมาตรการการค้าโลก นำร่อง 6กลุ่มอุตสาหกรรม พัฒนาองค์ความรู้ของบุคลากรภาคอุตสาหกรรม
เมื่อเร็วๆนี้ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) โดยสถาบันการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ร่วมกับสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) จัดสัมมนาเปิดตัวโครงการ ศึกษาวิจัยเชิงปฏิบัติการเพื่อจัดทำกลไกการปรับตัวเข้าสู่เศรษฐกิจสีเขียว (Green Transition) สำหรับวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) เพื่อยกระดับผู้ประกอบการ SME ให้สามารถดำเนินธุรกิจได้ทัดเทียมกับอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ โดยได้รับเกียรติจาก นางอภิรดี ขาวเธียร รองผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเป็นประธานกล่าวเปิดงาน ณ ห้องประกายเพชร โรงแรมเอเชีย พญาไท กรุงเทพฯ
โครงการศึกษาวิจัยเชิงปฏิบัติการเพื่อจัดทำกลไกการปรับตัวเข้าสู่เศรษฐกิจสีเขียว (Green Transition) มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ข้อมูลด้านแนวคิด ความจำเป็น และลักษณะการดำเนินธุรกิจปัจจุบันในเวทีโลก ที่เป็นตัวกระตุ้นให้แต่ละภาคส่วนต้องมีการปรับตัว และรับสมัครสถานประกอบการเข้าเป็นสถานประกอบการนำร่อง กลุ่มอุตสาหกรรมละ 3 แห่ง รวมทั้งสิ้น 18 แห่ง ซึ่งสถานประกอบการแต่ละแห่งจะได้รับคำปรึกษาเชิงลึกเพื่อการปรับตัวสู่ธุรกิจสีเขียว รวมถึงได้รับประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์ หรือคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กรจากผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้ทราบ Baseline Emission ของตนเองโดยไม่มีค่าใช้จ่าย และสถานประกอบการ 6 แห่งที่มีความพร้อม จะได้รับการทวนสอบคาร์บอนฟุตพริ้นท์ฯ โดยไม่มีค่าใช้จ่ายดำเนินโครงการ
นายนที สิทธิประศาสน์ กรรมการและเลขานุการ สถาบันการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่าปัจจุบัน ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) เป็นความท้าทายระดับโลก โดยได้มีคาดการณ์ว่า ในปีพ.ศ. 2593 (ค.ศ. 2050) การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะส่งผลให้ทั่วโลกมีมูลค่าทางเศรษฐกิจลดลงร้อยละ 10 ประเทศไทยจึงมีนโยบายเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยในการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือ UNFCCC COP ในการประชุมหลายครั้งที่ผ่านมา โดยมีการประกาศเป้าหมายสำคัญ คือ ประเทศไทยจะเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ในปีพ.ศ. 2593 (ค.ศ. 2050) และปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปีพ.ศ. 2608 (ค.ศ. 2065)
ประกอบกับในต่างประเทศได้เริ่มใช้เงื่อนไขทางด้านสิ่งแวดล้อมเป็นมาตรการทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี (Non-Tariff Measures) เช่น สหภาพยุโรปมีมาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน หรือ CBAM ในหลายกลุ่มผลิตภัณฑ์ ทำให้กระทบต่อการส่งออกของผู้ประกอบการ นอกสหภาพยุโรปแล้ว ประเทศอื่นๆ เช่น สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และจีน อาจมีการพิจารณาการใช้มาตรการในลักษณะเดียวกันในอนาคต
ดังนั้นแนวคิดเศรษฐกิจสีเขียว (Green transition) จึงเป็นหนึ่งในแนวทางเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว และจะเป็นการพัฒนาสถานการณ์ด้านสิ่งแวดล้อมโลกไปสู่ความยั่งยืน ดังนั้นธุรกิจในทุกระดับจึงต้องดำเนินการปรับตัวเข้าสู่เศรษฐกิจสีเขียว เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันจากนโยบายและมาตรการทางสิ่งแวดล้อมที่บังคับใช้ในปัจจุบันและมีแนวโน้มที่จะมีความเข้มข้นขึ้นในอนาคต ทางสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย จึงได้จัดตั้งสถาบันการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อเตรียมความพร้อม และยกระดับการพัฒนาคุณภาพสินค้าและการผลิตในสังคม เศรษฐกิจ อุตสาหกรรมคาร์บอนต่ำ รวมถึงส่งเสริม และสร้างมาตรฐานการตรวจสอบ การรับประกัน และการรับรองในระดับสากล เพื่อยกระดับการประกอบการอุตสาหกรรมของผู้ประกอบการทุกขนาด
นางอภิรดี ขาวเธียร รองผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) กล่าวว่า เพื่อยกระดับผู้ประกอบการ SME ซึ่งโดยมากแล้วยังขาดองค์ความรู้และบุคลากรในการปรับตัว เพื่อให้สามารถดำเนินธุรกิจได้ทัดเทียมกับอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ที่มีความพร้อมในทุกด้านมากกว่า
โดยเริ่มต้นที่กลุ่มอุตสาหกรรม 6 กลุ่ม ได้แก่ เหล็กและเหล็กกล้า อะลูมิเนียม การท่องเที่ยว พลาสติก สิ่งทอ และอาหาร ด้วยการจัดส่งผู้เชี่ยวชาญเข้าให้คำปรึกษาเชิงลึกร่วมกับการจัดอบรมสัมมนาเชิงปฏิยัติการรายกลุ่มอุตสาหกรรม เพื่อให้สามารถปรับตัวเข้าสู่เศรษฐกิจสีเขียว
และพัฒนาองค์ความรู้ของบุคลากรภาคอุตสาหกรรมให้มีความรู้และความสามารถในการจัดการ เพื่อลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม อันเป็นการยกระดับโซ่อุปทานภาคอุตสาหกรรมสู่การเป็นเศรษฐกิจสีเขียว (Green Transition) ให้สามารถเชื่อมโยงไปยังอุตสาหกรรมต้นน้ำให้สอดคล้องกับนโยบายของประเทศและเศรษฐกิจระดับมหภาค