ครม.ไฟเขียวคลัง! ปรับภาษีหนุนไทยขึ้นชั้น ‘ศก.ท่องเที่ยว – ฮับร้านอาหาร’ กระตุกเศรษฐกิจ
“ครม.เศรษฐา” รับลูก ก.คลัง ผุดแผนปรับโครงสร้างภาษีหนุนภาคการท่องเที่ยวและบริการต่อเนื่อง หวังดันไทยสู่ศูนย์กลางท่องเที่ยวและฮับร้านอาหารของโลก เผย! นอกจากสุราพื้นที่บ้านแล้ว สถานบริการบันเทิง ยังได้ประโยชน์เต็มๆ แถมยังปรับลดภาษีนำเข้าไวน์ โดยเว้นอากรขาเข้า 21 รายการ พร้อมเกณฑ์ตรวจสินค้าขอคืนแว็ตให้นักท่องเที่ยวต่างชาติ คาดลดความแออัดได้ 4 เท่าตัว ด้าน “ปลัดคลัง” มั่นใจ แนวทางนี้ ช่วยกระตุกเศรษฐกิจให้เติบโตทั้งระบบ ฉุดจีดีพีเพิ่มขึ้นเล็กๆ แถมสร้างรายได้ภาษีเพิ่มกว่า 400 ล้านบาทต่อปี ย้ำ! จะเร่งให้แล้วเสร็จภายใน ม.ค.67
นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ตามที่ นายกรัฐมนตรี ให้ความสำคัญกับ ภาคการท่องเที่ยวในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยวันนี้ (2 มกราคม2567) คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบมาตรการส่งเสริมประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวและการใช้จ่ายตามที่กระทรวงการคลังเสนอ เพื่อเป็นการเสริมสร้างบรรยากาศและภาพลักษณ์การเป็นจุดหมายปลายทางของการท่องเที่ยว (Tourist Destination) หรือเป็นศูนย์กลาง (Hub) ด้านร้านอาหารและภัตตาคารที่มีคุณภาพ หลากหลาย และมีจุดแข็งด้านราคาในระดับภูมิภาค นำไปสู่การเพิ่มการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติและชาวไทยทุกระดับ และเพิ่มสัดส่วนนักท่องเที่ยวคุณภาพสูงได้อย่างยั่งยืนโดยประกอบด้วย 2 มาตรการ ดังต่อไปนี้
1. การปรับปรุงโครงสร้างและอัตราภาษีสรรพสามิตและภาษีประเภทอื่น รวมทั้งปรับปรุงกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง เพื่อสนับสนุนภาคการท่องเที่ยว
การปรับปรุงอัตราภาษีสรรพสามิตสินค้าสุราและสถานบริการเพื่อเป็นการสนับสนุนมาตรการส่งเสริมประเทศไทยให้เป็น ศูนย์กลางการท่องเที่ยวและยกระดับอุตสาหกรรมสุราพื้นบ้านสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าเกษตรไทย จึงได้เสนอให้มี การปรับปรุงอัตราภาษีสินค้าสุราแช่พื้นบ้านไวน์ไวน์ผลไม้และสุราแช่ชนิดอื่นๆ เช่นปรับปรุงอัตราภาษีสุราแช่พื้นบ้าน (อุกระแช่สาโทสุราแช่พื้นบ้านอื่นและสุราแช่ที่ใช้วัตถุดิบเป็นข้าวที่มีแรงแอลกอฮอล์ไม่เกิน 7ดีกรี) กำหนดอัตราภาษีตามมูลค่าร้อยละ 0 และอัตราภาษีตามปริมาณ 150 บาท ต่อปริมาณหนึ่งลิตรแห่งแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ (ลดลงจากอัตราภาษีตามมูลค่าร้อยละ10 และอัตราภาษีตามปริมาณ 150 บาทต่อปริมาณหนึ่งลิตรแห่งแอลกอฮอล์บริสุทธิ์) และมีการปรับปรุงอัตราภาษีไวน์และไวน์ผลไม้โดยยกเลิกการจัดเก็บภาษีจากการแบ่งชั้นของราคา (Price Tier) และกำหนดให้มีการจัดเก็บภาษีเป็นอัตราเดียว (Unitary Rate) ที่มีความเรียบง่ายและสอดคล้องกับมาตรฐานสากล
ทั้งนี้ คาดว่าการปรับปรุงอัตราภาษีสรรพสามิตสินค้าสุราในครั้งนี้จะสนับสนุนสินค้าไทยให้เกิดการพัฒนาผลิตภัณฑ์ สนับสนุนการท่องเที่ยวชุมชน กระตุ้นเศรษฐกิจเมืองรองเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตร รวมทั้งทำให้สินค้าดังกล่าวแข่งขันกับประเทศต่างๆ และเป็นที่รู้จักของนานาชาติได้ อีกทั้งสามารถกระตุ้นให้ค่าใช้จ่ายท่องเที่ยวต่อหัวของนักท่องเที่ยวเพิ่มสูงขึ้น ยังมีการปรับปรุงพิกัดอัตราภาษีสุราแช่ชนิดอื่นๆ โดยกำหนดพิกัดอัตราภาษีสำหรับสุราแช่ที่มีการผสมสุรากลั่นและมีแรงแอลกอฮอล์เกิน7 ดีกรีขึ้นใหม่เพื่อรองรับสินค้าที่กำลังเป็นที่นิยมในปัจจุบัน
สำหรับ การปรับปรุงอัตราภาษีสถานบริการ ซึ่งประกอบกิจการบันเทิงหรือหย่อนใจ จากร้อยละ 10 ของรายรับของสถานบริการโดยไม่หักค่าใช้จ่ายเป็นร้อยละ 5 ของรายรับของสถานบริการ โดยไม่หักค่าใช้จ่าย ซึ่งมาตรการดังกล่าวเป็นมาตรการระยะสั้นมีกำหนดระยะเวลาประมาณ 1 ปี (สิ้นสุดวันที่ 31 ธ.ค. 2567) และจะช่วยให้ผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากโควิดกลับมาฟื้นตัวอีกครั้งและส่งเสริมการท่องเที่ยวให้สอดคล้องกับนโยบายภาครัฐด้วยอีกทางหนึ่ง นอกจากนี้จะเป็นการส่งเสริมและสนับสนุนการจ้างงานที่เพิ่มขึ้นและผู้ประกอบการสามารถจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายหรือปรับลดราคาค่าอาหารและบริการเพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวภายในประเทศเพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ ยังมีการปรับปรุงโครงสร้างภาษีศุลกากรสินค้าไวน์ โดย กรมศุลกากรได้ดำเนินการปรับปรุงโครงสร้างภาษีศุลกากรสินค้าไวน์ให้สอดคล้องควบคู่กับการปรับปรุงโครงสร้างภาษีสรรพสามิต โดยยกเว้นอากรขาเข้าสินค้าไวน์ในประเภทพิกัด 22.04 และ 22.05 รวม 21 รายการจากเดิมที่มีอัตราอากรร้อยละ 54 และ 60 โดยคาดว่า การยกเว้นอากรให้กับกลุ่มสินค้าดังกล่าวจะเป็นการขยายฐานการบริโภคและลดการลักลอบหลีกเลี่ยงอากรส่งผลให้จัดเก็บรายได้ภาษีอากร เช่น ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีเงินได้นิติบุคคล เป็นต้น เพิ่มขึ้นจากการขยายตัวของภาคการท่องเที่ยวและการใช้จ่าย
2. การปรับปรุงหลักเกณฑ์การตรวจสินค้าเพื่อขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มของนักท่องเที่ยว (VAT Refundfor Tourists) เพื่อลดปริมาณนักท่องเที่ยวที่ต้องเข้าคิวเพื่อแสดงสินค้าในกระบวนการขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม
กรมสรรพากรได้ดำเนินการปรับปรุงหลักเกณฑ์การตรวจสินค้าเพื่อขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ เพื่อลดปริมาณนักท่องเที่ยวที่ต้องเข้าคิว เพื่อแสดงสินค้าในกระบวนการขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มของนักท่องเที่ยว ซึ่งมีผลบังคับใช้แล้วตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2566 โดย…
(1) การปรับเพิ่มวงเงินซื้อสินค้าที่ต้องแสดงต่อศุลกากร จากเดิมตั้งแต่ 5,000 บาทขึ้นไป เป็น 20,000 บาทขึ้นไป ซึ่งจะลดจำนวนนักท่องเที่ยวที่ต้องแสดงสินค้าลงจาก 1.2 แสนรายต่อปี เหลือประมาณ 30,000 รายต่อปี หรือลดลงประมาณร้อยละ 75
และ (2) การปรับเพิ่มมูลค่าสินค้าที่ต้องนำไปแสดงต่อสรรพากร 9 รายการ ได้แก่ เครื่องประดับ ทองรูปพรรณ นาฬิกา แว่นตา ปากกา สมาร์ทโฟน แล็ปท็อปหรือแท็บเล็ต กระเป๋า (ไม่รวมกระเป๋าเดินทาง) เข็มขัด จากเดิมมูลค่าต่อชิ้นตั้งแต่ 10,000 บาทขึ้นไป เป็น 40,000 บาทขึ้นไป และของที่สามารถถือขึ้นเครื่องได้ (carry-on) จากเดิมมูลค่าต่อชิ้นตั้งแต่ 50,000 บาทขึ้นไป เป็น 100,000 บาทขึ้นไป
ทั้งนี้ หลักเกณฑ์ใหม่นี้จะช่วยลดจำนวนนักท่องเที่ยวที่ต้องแสดงสินค้าลงจาก 1.2 แสนรายต่อปี (หรือร้อยละ 4.7 ของจำนวนนักท่องเที่ยวที่ขอคืนภาษีทั้งหมด) เหลือประมาณ 30,000 รายต่อปี (หรือร้อยละ 1.2 ของจำนวนนักท่องเที่ยวที่ขอคืนภาษีทั้งหมด) หรือลดลงจาก 333 คนต่อวัน ที่ต้องแสดงสินค้าเหลือเพียง 84 คนต่อวัน โดยประมาณ หรือลดลงกว่าร้อยละ 75
ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวอีกว่า การปรับปรุงโครงสร้างและอัตราภาษีสรรพสามิตและการยกเว้นอากรขาเข้าต่าง ๆ ข้างต้น จำเป็นต้องตราเป็นกฎกระทรวงและประกาศกระทรวงการคลังตามลำดับ ซึ่งจะได้เร่งดำเนินการให้มีผลบังคับใช้โดยเร็วภายในเดือนมกราคม 2567 ทั้งนี้ ในภาพรวมมาตรการส่งเสริมประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวและการใช้จ่ายที่กระทรวงการคลังเสนอ จะส่งผลให้การจัดเก็บรายได้ภาษีสรรพสามิตและภาษีศุลกากรเพิ่มขึ้นสุทธิประมาณ 401 ล้านบาทต่อปีและ GDP ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.0073เทียบกับกรณีไม่มีมาตรการ
นอกจากนี้ ภาครัฐยังจะสามารถจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีเงินได้นิติบุคคลได้เพิ่มเติมในอนาคตจากการเพิ่มขึ้นของการจับจ่ายใช้สอยและการเพิ่มขึ้นของรายได้ของผู้ประกอบธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวทั้งทางตรงและทางอ้อม เช่น ร้านค้า ร้านอาหาร ภัตตาคาร ธุรกิจบริการ สถานบันเทิง โรงแรมที่พัก ผู้ให้บริการขนส่ง สายการบินเป็นต้น และ ส่งผลให้มีการลงทุนขยายกิจการและการจ้างงานเพิ่มขึ้นต่อไปส่งผลให้ภาพรวมเศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ดีขึ้น.