ชัดเจน! 50 ล.คนไทยได้สิทธิรับแจกเงินหมื่น เผย! รายได้ไม่เกิน 5 หมื่น/เงินฝากไม่เกิน 5 แสน เริ่มใช้ พ.ค.67
นายกฯเศรษฐา แถลงชัด! โครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet ให้สิทธิคนไทยวัย 16 ปีอัพ รายได้ไม่เกิน 5 แสนบาท/เดือน หรือมีเงินฝากต่ำกว่า 5 แสนบาท ติดเกณฑ์อย่างใดอย่างหนึ่ง จะเสียสิทธิทันที ระบุ! ใช้ครั้งแรกภายใน 6 เดือน ในพื้นที่อำเภอตามบัตรประชาชน แล้วใช้ได้จนถึง เม.ย.2570 คาดจะมีคนไทย50 ล้านคนได้รับสิทธินี้ พร้อมใช้แนวทางผ่าน พ.ร.บ.กู้เงิน 5 แสนล้าน ใช้กับโครงการนี้รวม 5 แสนล้าน ที่เหลือ 1 แสนล้านบาทใช้ใน 2 โครงการใหม่ “e-refund + กองทุนเพิ่มขีดความสามารถ” เผย! รายละเอียดการใช้จ่าย! อะไรที่ใช้จ่ายได้-ไม่ได้
นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง แถลงสรุปนโยบายโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet ภายหลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet ครั้งที่ 2/2566 ว่า รัฐบาลรับฟังข้อเสนอแนะจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและฝ่ายต่างๆ แล้วนำมาปรับให้สอดรับกับสถานการณ์เศรษฐกิจ โดยจะมอบสิทธิการใช้จ่ายให้กับประชาชนผู้ที่อายุ 16 ปีขึ้นไป รายได้ไม่ถึง 70,000 บาท ต่อเดือน และมีเงินฝากต่ำกว่า 500,000 บาท โดยให้สิทธิครั้งแรกภายใน 6 เดือน หลังจากเริ่มโครงการฯ และใช้จ่ายได้จนถึงเดือน เม.ย.2570 ทั้งนี้ ได้ขยายพื้นที่การใช้จ่ายเงินครอบคลุมในอำเภอตามบัตรประชาชน คาดว่าจะเริ่มได้ พ.ค. 2567
“จากข้อมูลพบว่าตลอด 10 ปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทย (จีดีพี) โตเฉลี่ยแค่เพียง 1.9% ต่ำมากเมื่อเทียบกับเพื่อนบ้านอาเซียน แถมยังมีปัจจัยลบอื่นๆ ทั้งเรื่องปัญหาสงครามในภูมิภาคต่างๆ ซึ่งกระทบการส่งออกของไทย รวมถึงปัญหาจากการที่เม็ดเงินหายไปจากระบบ เพราะพนันออนไลน์ หากไม่มีการเติมเงินใส่ในระบบ จะทำให้คนไทยยิ่งจนลง และนำไปสู่การซ้ำเติมระบบเศรษฐกิจให้เลวร้ายยิ่งขึ้น แถมยังตรวจสอบและจัดเก็บภาษีไม่ได้ ดังนั้น โครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet จึงเป็นการแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างมีนัยสำคัญ” นายกรัฐมนตรี ระบุและว่า
โครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจที่ซบเซาในระยะสั้น แล้วยังจะมีโครงการอื่นๆ ตามมาในระยะกลางและยาวอีก อย่างไรก็ตาม โครงการฯดังกล่าวจะเป็นการใช้จากเงินกู้ โดยรัฐบาลจะออก พ.ร.บ.กู้เงิน 5แสนล้านบาท ซึ่ง จะใช้ในโครงการนี้ แล้วยังจะเตรียมไว้อีก 1 แสนล้านบาท จะนำไปจัดทำนโยบายโครงการ e-refund เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายร้านค้าออนไลน์ และกองทุนเพิ่มขีดความสามารถ เพื่อนำมาต่อยอดอุตสาหกรรมใหม่ๆของประเทศ เช่น ยานยนต์สมัยใหม่ อุตสาหกรรมดิจิทัล การเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ การพัฒนาบุคลากรและการศึกษา เป็นต้น
ทั้งนี้ คาดว่าภายในปีนี้ จะเสนอร่างโครงการฯให้สำนักงานกฤษฎีกาพิจารณา และจะเสนอเข้าสู่ที่ประชุมรัฐบาลในช่วงต้นปี 2567 ซึ่งกระบวนการดังกล่าวจะช่วยทำให้โครงการฯมีความโปร่งใสมากขึ้น ภายใต้การตรวจสอบถ่วงดุลในระบบรัฐสภา ซึ่งตนมั่นใจว่า จะได้รับการอนุมัติโดยรัฐสภา และเป็นไปตาม มาตรา 53 พรบ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 ซึ่งการกู้เงินดังกล่าวจะ ระบุวัตถุประสงค์ของการกู้เงิน ระยะเวลาในการกู้เงิน แผนงานหรือโครงการที่ใช้จ่ายเงินกู้ วงเงินที่อนุญาตให้ใช้จ่ายเงินกู้ และหน่วยงานของรัฐ ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบการดำเนินแผนงานหรือโครงการที่ใช้จ่ายเงินกู้ในโครงการ Digital Wallet ให้ชอบด้วยรัฐธรรมนูญและกฎหมาย
นายกรัฐมนตรี ย้ำว่า ในการกู้เงินมาใช้นั้น รัฐบาลจะทำการกู้เงิน ต่อเมื่อมีการนำเงินไปใช้และนำมาขึ้นเป็นเงินสด แนวทางดังกล่าวจะช่วยเพิ่มเงินระบบมากกว่า 500,000 ล้าน เนื่องจากจะหมุนเวียนและกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างมีนัยยะสำคัญ เมื่อรวมกับเงินอีกก้อน 100,000 ล้านบาท ทำช่วยพลิกฟื้นเศรษฐกิจได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้ คนไทยไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องของการใช้เงินคืน เพราะรัฐบาลจะมีแผนจัดสรรเงินงบประมาณมาเพื่อจ่ายคืนเงินส่วนที่เป็นเงินกู้ตลอดระยะเวลา 4 ปี จากปี 2567 – 2570
ทั้งนี้ ตนขอยืนยันว่า นโยบายโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet ไม่ใช่การสงเคราะห์ประชาชนผู้ยากไร้ แต่เป็นการเติมเงินลงไปในระบบเศรษฐกิจผ่านสิทธิการใช้จ่าย เพื่อให้ประชาชนมีบทบาทร่วมกับรัฐบาล (Partnership) ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการพลิกฟื้นเศรษฐกิจ ผ่านสิทธิการใช้จ่าย 10,000 บาท
สำหรับการใช้จ่ายเงินในโครงการนี้ เนื่องจากเป็นการเติมเงินบาทผ่านแอปฯเป๋าตัง ที่ได้พัฒนาระบบบล็อกเชนขึ้นมารองรับและสามารถตรวจสอบการใช้จ่ายให้ตรงตามจุดประสงค์ของรัฐบาล ซึ่งจะป้องกันการทุจริตได้ดีขึ้น หากใครฝ่าฝืนหรือทุจริต ระบบก็จะตรวจสอบได้ทันที ดังนั้น จึงกำหนดแนวทางการใช้จ่ายดังนี้ กล่าวคือ รัฐบาลจะเติมเงิน 10,000 บาท ให้กับผู้มีสิทธิทุกคน ผ่านกระเป๋าดิจิทัลในแอปฯเป๋าตัง โดยประชาชนไม่สามารถโอนให้ผู้อื่น หรือแลกเป็นเงินได้ การใช้จ่ายจะต้องทำการต้องลงทะเบียนเพื่อรับสิทธิ และใช้สำหรับซื้อของอุปโภคบริโภคเท่านั้น และจะใช้จ่ายได้ภายในอำเภอตามบัตรประชาชน และต้องใช้ครั้งแรกภายใน 6 เดือนหลังจากเริ่มโครงการฯ ที่จะสิ้นสุดเดือน เม.ย.2570
ทั้งนี้ ไม่สามารถใช้ซื้อสินค้าออนไลน์ได้ ไม่สามารถใช้ซื้อของที่เป็นอบายมุข เช่น เหล้า บุหรี่ , ไม่สามารถซื้อบัตรกำนัลบัตรเงินสด เพชร พลอย ทองคำ อัญมณี, ไม่สามารถชำระหนี้ ค่าน้ำค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ น้ำมันเชื้อเพลิงและก๊าซธรรมชาติได้ ไม่สามารถจ่ายค่าเทอม ค่าเรียนได้ ร้านค้าไม่ต้องจด VAT เพื่อรับเงิน และ ร้านค้าที่จะขึ้นเงินได้ต้องอยู่ในระบบภาษี.