จับตา นายกฯนัดถก ‘ผู้ว่าแบงก์ชาติ’ 2 ต.ค.นี้ ปัดตอบคำถามถูกปลด
นายกรัฐมนตรี เรียกถก “ผู้ว่าแบงก์ชาติ” ยันไม่รู้ประเด็นแต่พร้อมตอบได้ทุกเรื่อง ส่งสัญญาณขึงดอกเบี้ย 2.50% ต่อปี อุ้มเศรษบกิจ ด้าน “ออมสิน”ตรึงดอกเบี้ย ช่วยเหลือประชาชน
วันที่ 29 ก.ย. 2566- นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.การคลัง นัดหารือในวันจันทร์ที่ 2 ต.ค.นี้ ทั้งนี้ ยังไม่ทราบว่าจะเป็นการหารือในประเด็นใด แต่ก็พร้อมที่จะตอบทุกคำถาม “ท่านนายกฯ นัดไปเจอวันจันทร์ ยังไม่ทราบว่าจะเป็นเรื่องอะไร ถ้าไปคงรู้ หากถามอะไร ก็พร้อมที่จะตอบ” ผู้ว่าฯ ธปท.ระบุ ส่วนที่การนัดหารือครั้งนี้ จะเนื่องมาจากกรณีมีกระแสข่าวปลดผู้ว่าฯ ธปท. ก่อนหน้านี้หรือไม่นั้น ผู้ว่าฯ ธปท.เพียงแค่หัวเราะ และปฏิเสธที่จะตอบคำถาม
อย่างไรก็ดี นายเศรษฐพุฒิ ยังกล่าวถึงกรณีที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% เมื่อวันที่ 27 ก.ย.ที่ผ่านมา ว่า กนง.ได้ให้น้ำหนักกับมุมมองเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า ซึ่งที่ผ่านมาอัตราดอกเบี้ยของไทยอยู่ในระดับต่ำมานานมาก จนส่งผลให้หนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับสูง และสร้างพฤติกรรมแสวงหาผลตอบแทน (Search for yield)
“เราถึงพยายามจะสื่อว่าต้องดูมุมมองเศรษฐกิจมากกว่าดูที่ข้อมูลเพราะไม่เช่นนั้น ข้อมูลจะไม่เสถียรถ้าเราตัดสินใจจากแค่ ข้อมูลเหมือนกับเราขับรถโดยดูแต่กระจกหลัง แทนที่จะมองไปข้างหน้า มันอันตราย และมีความเสี่ยง ” นายเศรษฐพุฒิ กล่าว
ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยนโยบายล่าสุดที่ 2.50% นั้น เชื่อว่าคงจะอยู่ในระดับนี้ไปอีกสักพัก โดยระดับอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวถือว่ามีความเหมาะสมกับสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบัน แต่หากในระยะข้างหน้า มุมมองเศรษฐกิจมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ กนง.ก็พร้อมที่จะ take action อย่างใดอย่างหนึ่ง แต่ไม่ยืนยันว่าการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายครั้งล่าสุดนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายของวัฎจักรการขึ้นดอกเบี้ยหรือไม่
สำหรับเศรษฐกิจไทยยังคงฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่อง แต่ยังมีปัจจัยเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นจากเงินเฟ้อที่ ธปท.ยังกังวล โดยในระยะข้างหน้ายังต้องติดตาม คือ ปัญหาเอลนีโญ ที่จะส่งผลกระทบกับอัตราเงินเฟ้อค่อนข้างมาก เพราะตะกร้าเงินเฟ้อมีสัดส่วนสินค้ากลุ่มอาหารอยู่มาก ประกอบกับราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ยังมีโอกาสเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตต่างๆ ให้สูงขึ้น นอกจากนี้ต้องติดตามการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ รวมถึงนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลด้วย
นายเศรษฐพุฒิ กล่าวว่า การที่ค่าเงินบาทของไทยมีความผันผวน มีสาเหตุมาจากปัจจัยภายนอกเป็นหลักจากที่ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่า แต่การที่เงินบาทผันผวนมากกว่าสกุลเงินอื่นในภูมิภาค เป็นเพราะค่าเงินบาทมีความเชื่อมโยงกับค่าเงินหยวนและเศรษฐกิจจีนค่อนข้างมาก ทั้งในเรื่องการท่องเที่ยวและการส่งออก อย่างไรก็ดี ยืนยันว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยล่าสุด ไม่ใช่ทำเพื่อสะกัดเงินไหลออก และการอ่อนค่าของเงินบาท แต่เป้าหมายของการดูแลค่าเงินคือ คำนึงถึงเสถียรภาพและผลกระทบต่อเงินเฟ้อทางอ้อ
ด้าน นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ธนาคารออมสินได้รับนโยบายจากรัฐบาลในการช่วยเหลือประชาชน โดยเฉพาะในช่วงทิศทางอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น โดยยืนยันที่จะตรึงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อเป็นการช่วยเหลือและแบ่งเบาภาระประชาชนในช่วงที่เศรษฐกิจกำลังฟื้นตัว ทั้งนี้ จะมีการตรึงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ทั้งหมด 3 ประเภท ได้แก่ 1. อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี (MLR) 2. อัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายใหญ่ชั้นดีประเภทวงเงินเบิกเกินบัญชี (MOR) และ 3. อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายย่อยชั้นดี (MRR)
“ได้รับนโยบายจากรัฐบาลมาแล้ว ธนาคารออมสินก็พร้อมที่จะช่วยเหลือประชาชนอย่างเต็มที่ด้วยการตรึงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้ โดยการตรึงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ในครั้งนี้ จะครอบคลุมลูกค้าที่ได้รับประโยชน์ทั้งสิ้นราว 6 ล้านราย ซึ่งอัตราดอกเบี้ยของธนาคารออมสินในปัจจุบันอยู่ต่ำกว่าหรือเท่ากับธนาคารพาณิชย์บางแห่ง” นายวิทัย กล่าว.