ชีวิต คือ ธรรมะ ข้อคิด จาก ครูบาน้อย
ครูบาน้อย ญาณวิไชยเมตตา มาแสดงธรรมบนเวทีเรายกวัดมาไว้ที่เซเว่นฯจัดโดย พุทธปัญญาชมรม บมจ.ซีพี ออลล์
ก่อนที่ครูบาน้อย ญาณวิไชย วัดถ้ำเชตวัน ต.สันทะ อ.นาน้อย จ.น่าน ได้ละสังขารอย่างสงบ ท่านได้เมตตามาแสดงธรรมบนเวทีเรายกวัดมาไว้ที่เซเว่นฯ ซึ่งจัดโดย พุทธปัญญาชมรม บมจ.ซีพี ออลล์ ผู้บริหารเซเว่น อีเลฟเว่น และเซเว่น เดลิเวอรี่ ซึ่งถือเป็นเวทีแสดงธรรมท้ายๆ ของท่าน ในหัวข้อ “ชีวิตจริง” เพื่อแบ่งปันแนวทางในการดำเนินชีวิตให้แก่ญาติโยมที่ได้ร่วมฟังธรรมบรรยาย
ครูบาน้อยท่านเริ่มเล่าถึงชีวิตในอดีตของท่านว่า “ปีนี้อายุได้ 34 ปี แต่ว่าอาศัยว่าบวชบวชอายุ 12 ปี 12 ก็ออกบวชจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ไม่ได้มีวิทยฐานะ ความรู้อะไรมากมาย อาศัยความตั้งใจว่าได้อุทิศชีวิตนี้ไว้ในพระพุทธศาสนาเพื่อ เป็นประโยชน์ต่อมนุษยชาติสรรพสัตว์ทั้งหลาย” ท่านกล่าวอีกว่าการทำบุญนั้นมีหลายอย่าง บางคนก็ใช้ทรัพย์ บางคนใช้สติปัญญา บางคนใช้กำลังกาย ในการทำบุญสร้างบารมี การ อุปสมบทของท่านถึงการปฏิญาณว่าระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่ง จึงทำบุญด้วยชีวิตของตัวเองไปเลย 1 ชาติ ซึ่งมันยากกว่าการทำบุญอย่างอื่น จึงตัดสินใจออกบวชตั้งแต่อายุ 12 ปี อุทิศชีวิตของตัวเองให้เป็นพุทธบูชา
ก่อนที่ท่านจะเริ่มบรรยายถึงหัวข้อ “ชีวิตจริง” ครูบาได้ให้ข้อคิดเรื่องการพูด คือ วจีสุจริต ความบริสุทธิ์ทางวาจา การที่เราจะพูดสิ่งใดนั้นเรา ควรนึกถึง 3 อย่าง เวลาเราเป็นผู้พูดเราก็ควรจะเป็นผู้พูดที่ดี เวลาเราเป็นผู้ฟังเราก็ควรจะเป็นผู้ฟังที่ดี เราควรทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด เพราะฉะนั้นแล้วมีตาให้ดูมากๆ มีแล้วเราจะได้เห็นในสิ่งที่เราไม่เคยได้เห็น มีหูให้ฟังมากๆ เพราะว่าหูมี 2 ข้างตามี 2 ข้าง เราจะได้ยินเสียงได้ยินสิ่งที่ดีๆ ให้เกิดปัญญา ปากมีปากเดียวให้พูดน้อยๆ ถ้าเราเอาหูไปเอาตาไปเราจะได้สติปัญญา แต่ถ้าเราเอาปากไปก่อนเราจะได้ปัญหา เพราะฉะนั้นแล้วนึกถึง 3 อย่างเรียกว่า วจีสุจริตคือ 1. ก่อนที่เราจะพูดนึกถึงว่ามันเป็นความจริงไหม ถ้าไม่แน่ใจว่าจริงหรือไม่จริงอย่าไปพูด 2.ถึงมันจะเป็นความจริงพูดไปแล้วมีคนเดือดร้อนเพราะความจริงที่เราพูดออกไปก็อย่าไปพูด 3.พูดไปแล้วถึงจะเป็นความจริงแต่ว่ามันไม่เกี่ยวกับเราไม่จำเป็นต้องพูด พูดในเฉพาะในสิ่งที่จำเป็น
ท่านเริ่มกล่าวถึงหัวข้อในการบรรยายเรื่อง “ชีวิตจริง” ว่า ชีวิตจริงกับการใช้ชีวิตนี้เราต้องแยกออกจากกันทั้งสองอย่างก่อน ชีวิตนี้เปรียบเสมือนลีลาของบทละคร บางทีก็เศร้า บางคราวก็สุข บางทีก็ทุกข์ หัวอกสะท้อน มีร้าง มีรัก มีพลัดมีพราก มีจาก มีจร กว่าจะจบบทละครชีวิต กว่าจากลาอันว่ารักวรรคตอนละครชีวิตเป็นเรื่องน่าคิดนะท่านเจ้าขา ด้วยฉากจะปิด ชีวิตจะลา ก็ต้องทรมาน ก็เหลือประมาณ ไม่ใช่เทวาจะมาอุ้มส่งไม่ใช่พระพรหมจะมาเสกสรรค์ ไม่ใช่พระศุกร์พระเสาร์พระอาทิตย์หรือว่าพระจันทร์ จะยากดีมีจนนั้นอยู่ที่ผลของการกระทำ
ฉะนั้นแล้วคนเราเกิดมาเพื่ออะไร คนเรามีกรรมเป็นแดนเกิด มีกรรมเป็นเผาผลาญ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย สังเกตว่าคนเรายังไม่หมดกรรมก็เข้าสู่สภาวะแห่งพระนิพพานไม่ได้ ต้องใช้กรรมให้หมดเสียก่อน เราสังเกตครูบาอาจารย์หลายๆ รูปหลายๆ ท่าน ที่ท่านเราเชื่อว่าท่านสำเร็จธรรมขั้นสูง แล้วแต่บั้นปลายชีวิตท่านก็ยังได้รับ วิบากกรรม ยกตัวอย่างหลวงปู่ชาวัดหนองป่าพง ท่านเป็นอัมพาตช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ติดเตียงอยู่ 16 ปีจึงละสังขาร เลยมีคนตั้งคำถามว่าขนาดว่าเป็นพระอริยเจ้าถึงขนาดนั้นทำไมต้องใช้วิบากกรรม อาตมาภาพถึงบอกว่าพระอริยะตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไปถึงพระอรหันต์นั้น ท่านไม่ไปใช้กรรมในนรก เพราะท่านปิดประตูอบายแล้ว การใช้กรรมที่เบาที่สุดคือการใช้กรรมในโลกมนุษย์ ถือว่าเป็นแดนพุทธเกษตร พุทธเกษตรคือการปลูกมนุษย์เป็นสถานที่แห่งเดียวที่สร้าง บารมีได้ง่ายที่สุดสร้างบุญได้ง่ายที่สุด เพราะเมืองสวรรค์แม้แต่เทวดาก็ยังมาอนุโมทนาและสร้างบุญในเมืองมนุษย์ แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเหล่าพระโพธิสัตว์ทั้งหลายก็อาศัยแดนมนุษย์ เป็นการสร้างบารมีและเป็นที่บรรลุธรรม แม้แต่พระอริยเจ้าทั้งหลายก็อาศัยแดนมนุษย์เป็นที่ใช้กรรม เพราะฉะนั้นถ้าใช้กรรมในแดนมนุษย์นั้นถือว่าเบาที่สุดแล้ว มีตัวช่วย เจ็บป่วยก็ยังมีหมอ มีเพื่อน มีญาติอีกพี่น้องได้ช่วยเหลือเกื้อคนกัน แต่ถ้าเราไปใช้กรรมในนรกลำบากกว่านี้ ยาวกว่านี้ ไม่มีโอกาส ไม่มีตัวช่วย เพราะฉะนั้นวันไหนที่เราประสบปัญหาเราถือว่าเราได้เกิดมาใช้กรรมและการได้ใช้กรรมในจุดนี้เบาที่สุด ตราบใดเรายังมีเศษแห่งวิบากกรรมยังหลงเหลืออยู่พระนิพพานก็ยังเข้าไม่ถึง
เราท่านทั้งหลายชีวิตจริงของคนเรา ไม่มีอะไรมากเป็นของชั่วคราว ทุกอย่างเกิดมาเหมือนกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านตรัสไว้ว่าทุกอย่างอย่าไปยึดมั่นถือมั่นเพราะมันเป็นของชั่วคราว ไม่มีสิ่งใดที่จะเป็นของถาวร อันนี้คือ ชีวิตจริง เราแบ่งว่าชีวิตจริงความจริง ไม่ได้วุ่นวายอะไรมากมันดำเนินไปตามกฎของธรรมชาติ แต่ที่เราวุ่นวายคือการใช้ชีวิตต่างหาก ทุกวันนี้เราใช้ชีวิตอย่างไร คุณค่าของความเป็นมนุษย์ ท่านทั้งหลายเสมอกันด้วยความเป็นมนุษย์ แต่เขตที่ทำให้เราต่างกันคือ การใช้ชีวิต ความจริงเราใช้ชีวิตของเราไม่มีอะไรวุ่นวายมากมาย ที่วุ่นวายเพราะอะไรที่เกินจำเป็น ชีวิตเราที่ต้องการในสิ่งที่เกินจำเป็น ทำให้เราวุ่นวาย ชีวิตก็คือธรรมะ เราสังเกตได้ว่าอยู่บนพื้นฐานของคำว่าไม่แน่นอน ชีวิตทุกอย่างทุกวันนี้มัวแต่วิ่งหา ความแน่นอนของชีวิต จนลืมไปว่าชีวิตไม่มีสิ่งที่แน่นอน ไม่มีอะไรแน่นอนสักอย่าง พร้อมจะเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา
ทุกอย่างมองว่าเป็นของชั่วคราว ทุกอย่างมีอายุของมันทั้งหมด ไม่ว่าความสุขไม่ว่าความทุกข์ ไม่ว่าอะไรล้วนแต่มีอายุของมันไม่ตั้งอยู่ถาวร ความสุขก็เหมือนกันกว่าจะเกิดขึ้นได้ก็ ต้องอาศัยการลงทุน แม้แต่ศาสนาพุทธไม่ได้สอนให้เราแสวงหาความสุข ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่สอนให้ดับทุกข์ พอทุกข์ดับไปสุขก็ เกิดขึ้น ตราบใดถ้าเรายังมีความสุขบนท่ามกลางความทุกข์ เราก็ไม่สามารถที่จะรับรู้ ถึงความสุขนั้นได้มาก
เพราะฉะนั้นถ้าเหตุดับไปเมื่อไหร่ผลก็เกิดขึ้น เพราะฉะนั้นมีเหตุมันก็ย่อมมีผล มีเหตุพิจารณาถึงเหตุทุกข์คือความจริง ความจริงของชีวิตมีทุกข์เป็นตัวหล่อ เลี้ยงทั้งหมดเราสังเกตง่ายๆเลยชีวิตของเราท่านทั้งหลายไม่มีวันไหนไม่มีทุกข์แต่ ความสุขจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเราบำบัด ทุกข์ตรงนั้นให้มันลดลงไป พอทุกข์ลดลงสุขก็เพิ่มขึ้นถ้าทุกข์หมดสุข ก็เกิดขึ้นเขาถึงบอกว่าเราจะไม่สามารถรับรู้ความสุขจากภายนอกได้เลยถ้าชีวิตเราไม่ สามารถสร้างความสุขให้เกิดขึ้นในใจเรา ก่อนเพราะฉะนั้นเราท่านทั้งหลายเราเกิดมา ชีวิตจริงเราสังเกตว่าไม่มีอะไรแน่นอนสุข ก็ไม่แน่นอนทุกก็ไม่แน่นอนทุกอย่างล้วน แต่เป็นของชั่วคราวสุขเกิดขึ้นชั่วคราว ทุกข์ก็เกิดขึ้นชั่วคราวได้ชั่วคราวเสีย ชั่วคราวรักกันชั่วคราวเปลี่ยนกันชั่วคราวทุกอย่างเป็นของชั่วคราวแม้แต่เรา นั่งอยู่ตรงนี้เราก็มานั่งแค่ชั่วคราว เดี๋ยวเราก็ต้องจากโลกใบนี้ไปแล้วไม่มี อะไรที่จะตั้งอยู่ได้ถาวรทุกอย่างมีอายุของมันเป็นหนุ่มเป็นสาวก็เป็นชั่วคราว เป็นเด็กก็เป็นชั่วคราวแต่แก่ชั่วคราวสุดท้ายก็ต้องจากจากโลกใบนี้ไปแม้แต่โลกใบ นี้เราก็อาศัยมันอยู่ชั่วคราวทั้งนั้น
สรรพสิ่งทั้งหลายล้วนอยู่บนพื้นฐานของคำว่าธรรม คือ ความเป็นจริง สุขเกิดขึ้นตั้งอยู่ชั่วคราว ประคองมันไว้ก็เป็นทุกข์ สุดท้ายสุขก็ดับไป เราเป็นชาวพุทธเราต้องมองเห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ให้ได้ อนิจจัง ไม่มีอะไรแน่นอน ทุกขัง ไม่มีอะไรได้ดั่งใจ อนัตตา คือ ไม่มีอะไรสมบูรณ์ สำหรับตัวเรามองว่าทุกอย่างเกิดขึ้น โลกใบนี้แบ่งเป็น 2 อย่างคือบางสิ่งบางอย่างเกิดมาในโลกใบนี้ไม่ได้เกิดมาให้เราแก้ไขแต่เกิดขึ้นมาให้เรายอมรับได้อยู่ร่วมกับมันให้ได้ ชีวิตจริงคือการยอมรับความจริง แต่ว่าการแก้ไขจะต้องไปใช้ในการดำเนินชีวิตหรือการใช้ชีวิต ปัญหาบางอย่างมีปัญญาแต่แก้ไม่ได้ต้องใช้เวลาในการแก้ เพราะฉะนั้นเราต้องประยุกต์นำธรรมะมาใช้กับชีวิตของความเป็นจริง ธรรมะคือความจริงของชีวิต ธรรมะคือกฎตายตัวไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ถ้าไม่อยากทุกข์กับการใช้ชีวิตใดๆ ต้องเข้าใจชีวิต ธรรมะที่มันอยู่ในสิ่งนั้นๆ
ทุกวันนี้ที่เป็นทุกข์เพราะว่ามองแต่ตัว เองบ้างมันเกิดขึ้นกับเฉพาะเราแต่เราลืมมองว่าคนอื่นก็อาจจะหนักกว่าเราด้วยซ้ำ แม้แต่คำว่าของการใช้ชีวิตชีวิตคือโลกโลก คือชีวิตโยมท่านทั้งหลายธรรมะของโลกมี อะไรในโยมความจริงของโลกมันก็ไม่มีอะไรมากสรรเสริญนินทามีรักมีเกลียดมีสุขมี ทุกข์มีได้มีเสียอย่างนี้แหละพระพุทธองค์ ท่านถึงบอกว่าอาณาคะตังฆะสัญญาอยู่ถึงจะ มีอาสาฬหบูชาญาณคือญาณอาจจะทำให้ทุกข์ดับไปลดลงคือการตัดทุกข์เราเห็นทุกอย่างไว้ ล่วงหน้าไหมล่ะโยมทุกวันนี้เราน้อยส่วน ที่เราเห็นทุกอย่างไว้ล่วงหน้าเรียกว่า อนาคต ล่วงหน้าแล้วเราจะไม่เป็นทุกข์มากแต่ทุกวันนี้เราไม่ได้เห็นอะไรไว้ล่วงหน้า
บางอย่างเกิดขึ้นมาให้เรายอมรับไม่ได้ เกิดขึ้นมาให้เราแก้ไขยอมรับและอยู่กับมันให้ได้ คือ เห็นอะไรไว้ล่วงหน้า ไม่ใช่รู้แล้วเป็นทุกข์ แต่ศาสตร์ของพุทธนั้นต้องรู้แล้วดับทุกข์ เหมือนกับเราไปดูดวงดูหมอหรืออะไรก็แล้วแต่มันเหมือนจะเป็นการรู้อนาคต แต่บางสิ่งบางอย่างรู้แล้วเป็นทุกข์ไม่รู้จะดีกว่า แต่ว่าศาสตร์ของพระพุทธองค์ คือการรู้ล่วงหน้าไม่ใช่รู้ล่วงหน้าแบบ การดูหมอ รู้ว่าตัวเองเป็นทุกข์คือรู้อย่างพ้นทุกข์ รู้อย่างดับทุกข์
เวลาเราได้ อนาคตของคำว่า “ได้” คือ “เสีย” แน่นอน วันหนึ่งเราต้องเสียมันไป ทำใจไว้แล้วครึ่งนึงพอถึงวันนั้นจริงๆ เราก็ไม่ทุกข์มาก อนาคตของคำว่า “รัก” วันหนึ่งก็ต้องชังกัน ทะเลาะกัน เกลียดกัน อนาคตของคำว่า “ดีใจ” วันหนึ่งต้อง “เสียใจ” อนาคตของคำว่า “สุข” ก็ต้อง “ทุกข์” อนาคตของ “ความไม่ทุกข์” ก็ต้อง “สุข” สลับกันเกิดๆ ดับๆ อย่างนี้ เราเห็นว่านี่คือ ชีวิตจริง มันวนเวียนคำว่า “โลก”หรือคำว่า “ชีวิต” เกิดซ้ำ ๆ กันอย่างนั้นไม่มีอะไรใหม่ สังเกตว่าทุกวันนี้ก็เหมือนทุกข์กับคนที่เราผ่านมา แต่ว่าเราลืมเก็บเกี่ยวมันมาไว้เป็นอุทาหรณ์ เป็นโยนิโสมนสิการที่ระลึกไว้ในใจว่าทุกๆ อย่างในโลกมันเกิดซ้ำๆ อยู่ไม่ว่าปัญหา ชีวิต ปัญหาการเงิน การงาน ปัญหาทุกอย่างซ้ำเดิม แต่เปลี่ยนบุคคลสถานะสถานที่ โอกาสเวลาเท่านี้ เราเกิด มาชีวิตของเรา เราดูจังหวะชีวิต สภาวะจิตใจ สภาพจิตใจของคนเราก็เปลี่ยนไปตามวัย ตามกาลตามเวลา
การละสังขารของครูบาน้อย ถือเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ของวงการสงฆ์และพุทธศาสนิกชนทั่วประเทศ ครูบาน้อยเป็นพระภิกษุผู้มีเมตตาธรรมสูง ปฏิบัติธรรมอย่างเคร่งครัด และเป็นแบบอย่างที่ดีแก่พุทธศาสนิกชน ตลอดระยะเวลาที่ครูบาน้อยดำรงสมณเพศ ท่านได้อุทิศตนเพื่อช่วยเหลือผู้ยากไร้และสังคมมาตลอด พบกับกิจกรรมเรายกวัดมาไว้ที่เซเว่นฯ ได้ทุกวันศุกร์ เวลา 12:00-13:30 น. ผ่านช่องทาง facebook fanpage CPALL หรือสามารถรับฟังย้อนหลังได้ที่ช่องทางเดียวกัน พร้อมรับฟังคติธรรมดี ๆ ในช่องทาง TikTok ได้ที่ ธรรมะ TikTok.