6 ด.แรก! บสย. ค้ำกู้ทะลุ 6.7 หมื่นล. คาดทั้งเกินเป้าแน่! – เปิดสูตร 3 เร่ง เชื่อมดิจิทัลแพลตฟอร์ม สู่เป้าหมาย SMEs Gateway
ผลงาน 6 เดือนแรกของ บสย. เด่นมาก! เร่งกระตุ้นเศรษฐกิจ ผ่านการค้ำเงินกู้พุ่งกว่า 6.79 หมื่นล้าน คาดทั้งปีทะลุเกินเป้า 9.5 หมื่นล้านบาทแน่ เผย! เติมสภาพคล่อง SMEs ได้สินเชื่อ 51,427 ราย สร้างผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ 2.8 แสนล้าน สร้างสินเชื่อสู่ระบบ 7.6 หมื่นล้าน รักษาการจ้างงานรวมเกือบ 5 แสนตำแหน่ง และลูกหนี้ในกลุ่มด้อยคุณภาพ (NPG) รีบติดต่อด่วน! เชื่อตัวเลขลดลงเหลือไม่เกิน 5% ด้าน “สิทธิกร” ย้ำ! แผนครึ่งปีหลังเดินเครื่อง 3 เร่ง “เร่งค้ำ เร่งพัฒนา เร่งยกระดับ” ขับเคลื่อน Digital Technology เชื่อมดิจิทัลแพลตฟอร์ม สู่เป้าหมาย SMEs Gateway ระบุ! “รบ.ใหม่ – งบปี 67” ล่าช้ายังไม่กระทบแผนงาน พร้อมปรับแผนรับตัวเลขเศรษฐกิจใหม่ หลัง ก.คลังแถลงสัปดาห์หน้า วอน “ครม.ใหม่” ดูแล SMEs ทั้ง 10 กลุ่ม ชี้! 3 กลุ่มนำ เติบโตสอดรับตัวเลขเศรษฐกิจไทย
นายสิทธิกร ดิเรกสุนทร กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) แถลงผลดำเนินงาน 6 เดือนแรก (มกราคม – มิถุนายน 2566) ว่า ประสบผลสำเร็จตามเป้า ทั้งด้านค้ำประกันสินเชื่อ เติมสภาพคล่องทางการเงินต่อยอดธุรกิจ SMEs การแก้หนี้ ปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ผ่านมาตรการ “บสย. พร้อมช่วย” การให้คำปรึกษาทางการเงิน SMEs (บสย. F.A.Center) การขับเคลื่อนองค์กรด้วยดิจิทัล Digital Technology และการเพิ่มจำนวนผู้ใช้งานบน Line @tcgfirst
โดย ผลดำเนินงานอนุมัติค้ำประกันสินเชื่อ 6 เดือน อนุมัติวงเงินรวม 67,987 ล้านบาท ช่วย SMEs ได้สินเชื่อ 51,427 ราย สร้างผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ 280,786 ล้านบาท สร้างสินเชื่อสู่ระบบ 76,049 ล้านบาท รักษาการจ้างงานรวม 493,552 ตำแหน่ง ผ่านโครงการค้ำประกันสินเชื่อ 4 โครงการ ได้แก่
1. โครงการค้ำประกันสินเชื่อดอกเบี้ยถูก (พ.ร.ก.สินเชื่อฟื้นฟู ระยะที่ 2) วงเงิน 30,280 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 45% ของวงเงินรวม ช่วย SMEs 5,450 ราย 2. โครงการค้ำประกันสินเชื่อ บสย. SMEs เข้มแข็ง (PGS 10) วงเงิน 24,766 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 36% ของวงเงินรวม ช่วย SMEs 40,254 ราย
3. โครงการค้ำประกันสินเชื่อรายสถาบันการเงิน ระยะที่ 7 (BI7) วงเงิน 8,634 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 13% ของวงเงินรวม ช่วย SMEs 4,453 ราย และ 4.โครงการค้ำประกันสินเชื่ออื่นๆ (PGS Renew และ PGS 5 ขยายเวลา) วงเงิน 4,307 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 6% ของวงเงินรวม ช่วย SMEs 1,702 ราย
ทั้งนี้ กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีการค้ำประกันสินเชื่อสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ 1.ภาคบริการ สัดส่วน 31% ได้แก่ ธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง ภัตตาคาร ธุรกิจขนส่ง ธุรกิจโรงแรมและหอพัก ธุรกิจท่องเที่ยว และ ธุรกิจแวร์เฮ้าส์ 2.ภาคเกษตรกรรม สัดส่วน 11% ได้แก่ ธุรกิจผัก-ผลไม้ ธุรกิจชา กาแฟ ธุรกิจข้าว และพืชไร่ ธุรกิจสินค้าเกษตร ธุรกิจปศุสัตว์ และธุรกิจประมง และ 3.ภาคการผลิตและสินค้าอื่น สัดส่วน 10% ได้แก่ ธุรกิจค้าวัสดุก่อสร้าง ธุรกิจค้าปลีก ตลาดสด และแผงลอย ธุรกิจค้าของเก่า ธุรกิจจำหน่ายมือถือและอุปกรณ์ ธุรกิจการค้า ธุรกิจการผลิตอื่นๆ
ส่วน โครงการค้ำประกันสินเชื่อที่โดดเด่นในรอบ 6 เดือน ได้แก่ โครงการค้ำประกันสินเชื่อ บสย. SMEs เข้มแข็ง (PGS 10) อนุมัติค้ำประกันได้ถึง 24,766 ล้านบาท (จากวงเงินที่ได้รับอนุมัติเมื่อเดือน ก.พ.2566 จำนวน 50,000 ล้านบาท) จากการพัฒนาผลิตภัณฑ์ค้ำประกันสินเชื่อ ทั้ง 5 Segments คือ 1. Smart Biz (สัดส่วนค้ำ 62%) วงเงินค้ำเฉลี่ยต่อราย 5.17 ล้านบาท 2. Smart One (25%) วงเงินค้ำเฉลี่ยต่อราย 2.72 ล้านบาท 3. Small Biz (13%) วงเงินค้ำเฉลี่ยต่อราย 0.09 ล้านบาท 4. Smart Green (0.14%) วงเงินค้ำเฉลี่ยต่อราย 3.82 ล้านบาท 5. Start up (0.01%) วงเงินค้ำเฉลี่ยต่อราย 0.07 ล้านบาท ช่วย SMEs ได้สินเชื่อ 40,254 ราย และ โครงการค้ำประกันดอกเบี้ยถูก (พ.ร.ก.สินเชื่อฟื้นฟู ระยะที่ 2) ร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย ช่วย SMEs ได้สินเชื่อ 5,450 ราย อนุมัติค้ำ 30,280 บาท
นอกจากนี้ บสย. ยังประสบความสำเร็จในการให้คำปรึกษาทางการเงิน SMEs (บสย. F.A. Center) โดยมีจำนวนผู้ใช้บริการลงทะเบียนขอรับคำปรึกษาและเข้าอบรมมากกว่า 14,076 ราย ขณะที่ โครงการช่วยลูกหนี้ “บสย. พร้อมช่วย” มาตรการเชิงรุก เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการช่วยเหลือลูกหนี้แก้หนี้ยั่งยืนได้รับผลสำเร็จดีเยี่ยม โดยสามารถช่วยเหลือลูกหนี้ ผ่านโครงการประนอมหนี้ ด้วยการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ผ่านมาตรการ 3 สี ม่วง เหลือง เขียว “ผ่อนน้อย เบาแรง” ได้มากถึง 10,208 ราย คิดเป็นวงเงิน 3,745 ล้านบาท โดยมีมาตรการผ่อนน้อย เบาแรง ชำระครั้งแรก 10% ผ่อนนาน 7 ปี ตัดเงินต้นทั้งจำนวน ดอกเบี้ย 0% มีสัดส่วนสูงถึง 84% มีผู้ใช้บริการสูงสุด
“ในแง่ของการ กระจายการค้ำประกันสินเชื่อให้กับ SMEs ของ บสย. ถือว่าทำได้ดีกว่าธนาคารพาณิชย์ทุกแห่งรวมกัน โดยในส่วนของ บสย. สามารถช่วยเหลือ SMEs ได้เข้าถึงสินเชื่อแยกเป็น กรุงเทพฯและปริมณฑล 40% และอีก 60% กระจายไปยังภูมิภาคต่างๆ ขณะที่ ระบบของธนาคารพาณิชย์ กระจุกตัวอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑลมากถึง 70% ที่เหลือกระจายไปยังภูมิภาคต่างๆ ได้เพียง 30% เท่านั้น” นายสิทธิกร กล่าวและย้ำว่า
ตัวเลข ภาระค้ำประกันหนี้จัดชั้นด้อยคุณภาพ (NPG) ที่ บสย.ดูแลอยู่ราว 7-8% ของสินเชื่อ SMEs ทั้งระบบที่อยู่กับธนาคารพาณิชย์นั้น จะพยายามสื่อสารและเชิญชวนให้รีบเข้ามาหารือกับ บสย.โดยเร็ว ทั้งนี้ หาก SMEs ในกลุ่มนี้ เข้ามาพูดคุยได้เร็วเท่าใด เชื่อว่าจะสามารถลดตัวเลข NPG เหลือไม่เกิน 5% ณ สิ้นปี 2566 อย่างแน่นอน
สำหรับ ทิศทางการดำเนินงาน บสย. ครึ่งปีหลัง ยกระดับค้ำประกันด้วย Digital Technology สู่การเป็น SMEs Gateway ตามแนวทาง TCG Fast & First รวดเร็ว รอบคอบ ที่หนึ่งในใจ SMEs ร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศไทย ช่วยผู้ประกอบการเข้าถึงแหล่งทุนในระบบให้ได้มากที่สุดในช่วงฟื้นประเทศ โดยเน้นการทำงาน 3 เร่ง “เร่งค้ำ เร่งพัฒนา เร่งยกระดับ” ประกอบด้วย…
1. เร่งผลักดันการค้ำประกันสินเชื่อ โดย บสย. มีวงเงินค้ำประกันสินเชื่อโครงการ PGS 10 รองรับราว 25,000 ล้านบาท โครงการค้ำประกันสินเชื่อดอกเบี้ยถูก (พ.ร.ก.สินเชื่อฟื้นฟู ระยะที่ 2) มีวงเงินรองรับราว 50,000 ล้านบาท และโครงการค้ำประกันสินเชื่อรายสถาบัน ระยะที่ 7 มีวงเงินรองรับราว 15,000 ล้านบาท
2. เร่งพัฒนาโครงการพัฒนานวัตกรรม บสย. การให้บริการลูกค้าผ่านช่องทาง Digital Platform และพัฒนา Line @tcgfirst เพื่อการเข้าถึงบริการใหม่ อาทิ การจองคิวปรึกษา “หมอหนี้” ผ่าน Line @tcgfirst ตลอด 24 ชั่วโมง
การพัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์ค้ำประกันสินเชื่อที่สอดคล้องตามการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการดำเนินธุรกิจ และเทรนด์ผู้ประกอบการ SMEs ที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น ในกลุ่ม Start up กลุ่มธุรกิจรักษ์โลก และสิ่งแวดล้อม Green Business กลุ่ม ESG การดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน โครงการพัฒนากระบวนการจัดการการเก็บหนี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารหนี้ และโครงการพัฒนาระบบ TCG Data Management Platform เชื่อมโยงฐานข้อมูลทั้งภายในและภายนอก
3. เร่งยกระดับการเข้าถึงบริการให้คำปรึกษา หมอหนี้ บสย. โครงการพัฒนารูปแบบการให้คำปรึกษาทางการเงิน ศูนย์ที่ปรึกษาทางการเงิน SMEs (บสย. F.A. Center) และโครงการการให้บริการ Credit Mediator เพื่อให้ SMEs เข้าถึงสินเชื่อเพิ่มมากขึ้น
สำหรับการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่และการจัดทำงบประมาณปี 2567 ที่ล่าช้านั้น นายสิทธิกร ระบุว่า ได้ถูกนำมาเป็นเงื่อนไขในการจัดทำแผนงานเชิงยุทธศาสตร์ในช่วงครึ่งปีหลังแล้ว ส่วนตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญที่กระทรวงการคลังเตรียมจะประกาศใหม่ ผ่านการแถลงข่าวในสัปดาห์หน้า (26 ก.ค.) จะเป็นเงื่อนไขสำคัญที่ บสย. จะนำมามาพิจารณาเพื่อปรับประมาณการต่อไป อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลังนั้น ก็คงไม่ต่างจากครึ่งปีแรกมากนัก ซึ่งน่าจะทำให้ตัวเลขการค้ำประกันสินเชื่อตลอดทั้งปี 2566 สูงกว่าประมาณการใหม่ที่ระดับ 95,000 ล้านบาทอย่างแน่นอน
“บสย.อยากให้รัฐบาลชุดใหม่พิจารณาตัวเลขข้อมูลการดำเนินงานของเอสเอ็มอีและไมโครเอสเอ็มอีทั้ง 10 กลุ่ม โดยเฉพาะ 3 กลุ่มหลักที่มีอัตราการเติบโตในทิศทางเดียวกับภาพรวมเศรษฐกิจในปัจจุบัน ได้แก่ กลุ่มการบริการ กลุ่มเกษตรกรรมแปรรูป และการผลิตสินค้าและการค้าอื่น เพราะหากเอสเอ็มอีและไมโครเอสเอ็มอีทุกกลุ่มได้รับการดูแลจากภาครัฐ กระทั่งสามารถเข้าถึงแหล่งเงินกู้เพื่อเสริมสภาพคล่องได้ เชื่อว่าภาพรวมเศรษฐกิจของไทยต้องดีขึ้นแน่” กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บสย. กล่าวทิ้งท้าย.