อดีตตุลาการศาลรธน.ชี้ “พิธา” ชิงนายกฯได้แม้ถูกฟันม.151 ย้ำทุกอย่างจบที่ศาล

“จรัญ ภักดีธนากุล” อดีตตุลาการศาล รธน. ชี้ สามารถชื่อชื่อ “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” ชิงนายกฯ ได้ แม้ถูกฟัน ม.151 ย้ำสถานการณ์ปัจจุบัน ต่างฝ่ายต่างยกข้อมูลสู้ผ่านสื่อชิงความชอบธรรม หวั่นนำสู่ความรุนแรง ย้ำทุกอย่างจบที่ศาล

วันที่ 14 มิ.ย.2566 นายจรัญ ภักดีธนากุล อดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ กล่าวถึงการเสนอชื่อ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคก้าวไกล ในขณะที่มีข้อสงสัยเรื่องคุณสมบัติว่าการดำเนินคดีกับนายพิธา ตามมาตรา 151 พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. ฐานรู้ว่าไม่มีคุณสมบัติ แต่ยังสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. เป็นการดำเนินคดีทางอาญา ไม่ใช่คดีที่เกี่ยวกับการตัดคุณสมบัติหรือวินิจฉัยลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญมาตรา 98 (3) ที่ศาลรัฐธรรมนูญจะต้องเป็นผู้วินิจฉัย

ดังนั้นไม่น่าจะมีอะไรขัดขวางการเสนอ ชื่อนายพิธา ชิงตำแหน่งนายกฯ เว้นแต่เมื่อรับรอง ส.ส. แล้ว ส.ส. จำนวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 10 ของ ส.ส. คือ 50 คน เห็นว่ามีมูลเหตุว่านายพิธาขาดคุณสมบัติ หรือ มีลักษณะต้องห้ามที่จะเป็น ส.ส. ได้ และจะพัวพันไปถึงการจะเป็นนายกฯ ด้วย มีสิทธิเสนอเรื่องต่อประธานสภา ให้ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยคุณสมบัติหรือลักษณะต้องห้าม แต่หากไม่มี ส.ส. ส่งเรื่องไปที่ศาลรัฐธรรมนูญ กกต. ก็มีอำนาจตรวจสอบเรื่องนี้ แล้ววินิจฉัยว่าจะส่งเรื่องไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยหรือไม่ กว่าจะคดีจะเข้าสู่ศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยว่ารับเรื่องหรือไม่ และจะให้หยุดปฏิบัติหน้าที่หรือไม่ ซึ่งเป็นดุลพินิจของศาลรัฐธรรมนูญก็ใช้เวลานานพอสมควร

นายจรัญ กล่าวว่า ขณะนี้ควรเดินหน้าตามขั้นตอนกฎหมาย โดยรอให้ กกต. รับรอง ส.ส. ให้ครบร้อยละ 95 และเปิดประชุมสภานัดแรกเพื่อเลือกประธานสภา จากนั้นประธานสภา ในฐานะประธานรัฐสภาจะนัดประชุมรัฐสภาเพื่อเลือกนายกฯ เมื่อถึงขั้นตอนนั้นยังไม่ทราบว่าจะมีคำร้องต่างๆ อย่างไร จะมีใครส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยหรือไม่ ไม่ทราบว่าศาลจะวินิจฉัยอย่างไร สมมุติว่าศาลรัฐธรรมนูญสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ จะมีผลต่อแคนดิเดตนายกฯ หรือไม่ เพราะศาลสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ ส.ส. เขาไม่ได้ร้องเพิกถอนคุณสมบัติแคนดิเดตนายกฯ เว้นแต่ผู้ร้องจะร้องเกี่ยวกับคุณสมบัติของแคนดิเดตนายกฯ ด้วย ซึ่งไม่มีช่องทางให้ไป ดังนั้นเรื่องนี้ต้องจบที่ศาล

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังไม่มีกระบวนการที่จะให้ไปสู่ศาลอย่างชัดเจน ยังมีความซับซ้อนมาก แต่กลับมีการพิจารณาคดีทางสื่อ โดยแต่ละฝ่ายหยิบหลักฐานออกมาแสดง เพื่อชี้ไปยังประโยชน์ของตัวเอง ไม่มีขั้นตอน ไม่มีหลักเกณฑ์ แต่ละคนว่าไปตามความคิดของตัวเอง ในที่สุดแต่ละฝ่ายที่สนับสนุน ก็แบ่งฝ่ายทะเลาะกัน 2 ฝ่าย 3 ฝ่าย โดยไม่มีข้อยุติ ตนกังวลว่าในที่สุดจะนำไปสู่สงครามบนท้องถนน จึงอยากให้เรื่องนี้ไปจบด้วยกระบวนการทางนิติ คือไปจบที่ศาล ไม่เช่นนั้นสังคมก็เดินไม่ได้.

Login

Welcome! Login in to your account

Remember me Lost your password?

Lost Password